5 แสนแรงงานไม่ขอกลับ เงินหายปีละ 4.3 หมื่นล้าน ย้อนกระทบเศรษฐกิจกัมพูชา

17 มิ.ย. 2568 | 21:42 น.

บิ๊กเอกชน ชี้แรงงานกัมพูชาในไทย ส่วนใหญ่ไม่ต้องการกลับประเทศ แม้ “ฮุนเซน”ประกาศมีงานรองรับ 7 หมื่นตำแหน่ง เหตุรายได้ในไทยสูงกว่า-ผวาตกงาน องค์การนายจ้างชี้อยากดึงกลับ สะเทือนเศรษฐกิจกัมพูชาเอง เงินส่งกลับบ้านปีละกว่า 4.3 หมื่นล้านจะหายวับ ก่อสร้างไม่สะเทือนพร้อมใช้แรงงานเมียนมาเพิ่ม

แม้สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ประกาศมีตำแหน่งงานกว่า 7 หมื่นรองรับแรงงานที่กลับประเทศจากผลสืบเนื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา แต่เสียงสะท้อนจากฝั่งไทยชัดเจน แรงงานกัมพูชาจำนวนกว่า 1 ล้านคนส่วนใหญ่ “ไม่สมัครใจกลับ” เหตุรายได้ในไทยสูงกว่า-มั่นคงกว่า ซึ่งภาคเอกชนไทยยืนยันไม่ได้ผลักไสแรงงานต่างด้าว แต่กลับมองเป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมเปิดทางแรงงานจากประเทศอื่น หากเกิดแรงกระเพื่อมจริง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีที่สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาเรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทยกลับบ้าน โดยอ้างเหตุผลว่าอาจถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชังจากสังคมไทยนั้น ในข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ปัจจุบันแรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยมีมากกว่า 500,000 คน แต่หากรวมแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างไม่ถูกกฎหมาย ตัวเลขจริงน่าจะมากกว่า 1 ล้านคน โดยกระจายตัวอยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น โรงงานผลิตสินค้า ภาค การเกษตร ได้แก่ แรงงานกรีดยางและเก็บเกี่ยวผลไม้ รวมถึงภาคบริการโดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม และการท่องเที่ยว และในภาคอื่น ๆ

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

“แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ที่ผู้บริหารสถานประกอบการพูดคุยด้วย ให้ข้อมูลคล้ายกันว่าไม่อยากกลับ เพราะรายได้จากการทำงานในไทยดีกว่ามาก หลายคนทำงานเพื่อส่งเงินกลับไปเลี้ยงครอบครัว พ่อแม่ ลูกหลาน และผู้สูงอายุในประเทศของตนเองได้เป็นอย่างดี”

ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุนเซนระบุว่า กัมพูชามีตำแหน่งงานรองรับมากกว่า 70,000 ตำแหน่งนั้น มองว่าเป็นเพียงการใช้อำนาจการต่อรองทางการเมืองเท่านั้น เพราะในข้อเท็จจริงภาคเศรษฐกิจของกัมพูชา ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ยังไม่สามารถรองรับแรงงานในระดับล้านคนได้ อีกทั้งอัตราค่าจ้างก็ยังต่ำกว่าประเทศไทยมาก

“ถ้าดึงแรงงานกลับได้จริง จะกระทบสถานประกอบการไทยบางส่วนแน่นอน แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะแรงงานกัมพูชาเองก็ไม่อยากกลับ กลัวไม่มีงานทำรายได้ไม่พอใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว ขณะที่แรงงานเมียนมายังเข้ามาไทยมากกว่ากัมพูชาเกือบ 2 เท่า โดยคาดว่าอาจมีรวมแล้วถึง 3 ล้านคน ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย”

นายเกรียงไกร ยังเน้นว่า ในมุมของนายจ้างและสถานประกอบการในไทย ไม่มีความรู้สึกเกลียดชังหรือดูถูกแรงงานกัมพูชาแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังให้ความสำคัญเพราะถือเป็นแรงงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีบทบาทในการส่งเงินกลับไปพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในประเทศของตน

5 แสนแรงงานไม่ขอกลับ เงินหายปีละ 4.3 หมื่นล้าน ย้อนกระทบเศรษฐกิจกัมพูชา

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า แรงงาน กัมพูชาที่ทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมาย ณ เดือนเมษายน 2568 มีจำนวน 515,350 คน หรือราว 14% ของแรงงานเพื่อนบ้าน 3 สัญชาติ (เมียนมา 2.994 ล้านคน, ลาว 282,000 คน) และคาดว่าหากรวมแรงงานผิดกฎหมาย ตัวเลขแรงงานกัมพูชาในไทยอาจสูงถึง 8 แสนคน

แรงงานต่างด้าวเหล่านี้ไม่ได้แย่งอาชีพคนไทย แต่ทำงานในภาคที่คนไทยไม่ทำ เช่น ก่อสร้าง ประมง เกษตรกรรม และบางส่วนในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา ส่งเงินกลับประเทศไม่ต่ำกว่า 43,600 ล้านบาทต่อปี หากถูกดึงกลับจริง กัมพูชาจะเผชิญปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ เพราะไม่สามารถรองรับแรงงานจำนวนมากได้ทันที

ทั้งนี้ประเด็นแรงงานถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางการเมือง แต่การดึงแรงงานเกือบล้านคนกลับประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นข้ามคืนและต้องพิจารณาความสมัครใจของแรงงานด้วย อย่างไรก็ดีในส่วนของไทยควรเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่น เช่น เมียนมา บังกลาเทศ เวียดนาม หรืออินเดีย พร้อมทั้งเร่งใช้เทคโนโลยีในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวในระยะยาว

“รัฐบาลไทยต้องส่งสัญญาณชัดเจนว่าไทยไม่พึ่งพากัมพูชา และ สามารถหาทางเลือกอื่นได้ทันที” นายธนิตกล่าว

ด้านภาคก่อสร้าง ที่แรงงานต่างด้าว มีส่วนสำคัญในการผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกิจการของรัฐรวมถึงภาคเอกชนในไทย ท่ามกลางปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่อาจมีส่วนกระทบในแง่นโยบาย เชิงจิตวิทยาที่ฝั่งกัมพูชาต้องการกดดันให้แรงงานกลับยังประเทศ

นางสาวลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า กรณีที่มีปัญหาข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างหรือไม่นั้น ปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ อาจจะได้รับผลกระทบบริเวณพื้นที่ชายแดนมากกว่า

“จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นมองว่าแรงงานเมียนมาสามารถทดแทนแรงงานกัมพูชาในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างได้ อีกทั้งขณะนี้เศรษฐกิจไทยก็ไม่ดีนัก งานน้อยลง ส่งผลให้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบด้วย แต่ในภาคแรงงานไม่ได้มีปัญหามากนัก”

ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างมีแรงงานเพื่อนบ้านหลายประเทศ เช่น แรงงานเมียนมา แรงงานกัมพูชา แรงงาน สปป.ลาว โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดบริเวณชายแดน สปป.ลาวและกัมพูชามักจะใช้แรงงานฝั่งนี้มากกว่า สำหรับภาพรวมแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย จำนวนเกือบ 1 ล้านคน แบ่งเป็น ภาคก่อสร้าง จำนวน 2 แสนคน ส่วนอีกราว 8 แสนคน เป็นภาคบริการและอุตสาหกรรมอื่นๆ

สอดคล้องกับ นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า ในภาพรวมแรงงานกัมพูชาไม่น่ากระทบไทยมาก เพราะเป็นส่วนน้อยและอยู่เฉพาะตามภาคต่าง ๆ เช่นภาคตะวันออก ทั้งนี้หากมีผลกระทบจากการสู้รบปิดด่านชายแดนและถึงขั้นต้องนำแรงงานกลับประเทศตามนโยบายกัมพูชา มองว่าสามารถหาแรงงานจากประเทศอื่นทดแทนได้ และในทางปฏิบัติมองว่าไม่น่าจะเกิดความเคลื่อนไหวของแรงงานกัมพูชาที่ต้องการกลับประเทศมากนัก เพราะค่าแรงของไทยสูงกว่ากัมพูชาและอีกหลายประเทศเป็นแรงจูงใจ ขณะเดียวปัจจุบันโครงการก่อสร้างต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนมีปริมาณที่ลดลงค่อนข้างมาก ดังนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่ต้องช่วงชิงแรงงานเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว

ด้าน นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวถึง กรณีที่กัมพูชาจะขนแรงงานกลับจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างไรว่า แรงงานกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-20% หลักๆ แรงงานกัมพูชาจะอยู่ในภาคก่อสร้าง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ไม่ค่อยดี อาจทดแทนด้วยแรงงานสัญชาติอื่นได้ และงบประมาณภาครัฐเบิกจ่ายค่อนข้างล่าช้า

ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะกระทบไทยมากในระยะกลางหรือระยะยาว เพราะไทยน่าจะหาแรงงานสัญชาติอื่นมาทดแทน โดยเฉพาะสัดส่วนแรงงานรวมกันในภาคก่อสร้าง ภาคการผลิต และภาคการเกษตรประมาณ 70%ของแรงงานกัมพูชา ซึ่งภาคก่อสร้างและภาคการผลิตสถานการณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว จึงมีแนวโน้มจะปล่อยให้แรงงานกัมพูชากลับได้ โดยสามารถจะหาแรงงานอื่นมาทดแทน

ขณะที่ภาคเกษตรของไทยปีนี้น่าห่วง ถ้าแรงงานหายไปภาคเกษตรอาจจจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด หรือการเพาะปลูกล่าช้าในฤดูกาลใหม่ กรณีที่ภาคเกษตรไม่สามารถหาแรงงานอื่นมาทดแทน และด้วยแรงงานคนไทยราว 1 ใน 3 อยู่ในภาคเกษตรหากผลผลิตหรือการเพาะปลูกล่าช้าอาจทำให้กระทบการใช้จ่ายหรือการบริโภคซึมลงกว่าเก่า แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพใหญ่คงไม่มากเพราะภาคเกษตรมีสัดส่วนต่อจีดีพีไทยเพียง 8%