เมื่อพูดถึงปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา หลายคนอาจคิดว่าเป็นประเด็นทางการเมืองหรือประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่หากมองลึกลงไป จะพบว่ารากเหง้าของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมา 120 ปีนี้ เกิดจาก "ความแตกต่างระหว่างแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000" ที่ทั้งสองประเทศใช้อ้างอิงในการกำหนดเขตแดนร่วมกัน
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่กรุงพนมเปญ นายฬำ เจีย รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ได้ประกาศจุดยืนอย่างเด็ดขาดว่า กัมพูชาจะใช้เฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1904 และ 1907 เท่านั้น และปฏิเสธแผนที่ฝ่ายไทยที่วาดขึ้นเองฝ่ายเดียวอย่างสิ้นเชิง
เพื่อเข้าใจถึงสาเหตุที่ความแตกต่างของแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 สามารถสร้างปัญหาได้มากมายขนาดนี้ เราต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจความหมายของมาตราส่วนแผนที่ก่อน
แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่ไทยใช้อ้างอิง หมายความว่า 1 เซนติเมตรบนแผนที่จะเท่ากับ 50,000 เซนติเมตร หรือ 500 เมตรในความเป็นจริง การมีมาตราส่วนที่ละเอียดเช่นนี้ทำให้แผนที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เห็นถึงเนินเขา ลำธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับการกำหนดเขตแดนที่ต้องการความแม่นยำสูง
ในทางตรงข้าม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชายืนยันใช้ หมายความว่า 1 เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ 200,000 เซนติเมตร หรือ 2 กิโลเมตรในความเป็นจริง แผนที่ชุดนี้มีรายละเอียดน้อยกว่าแผนที่ไทยถึง 4 เท่า แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการมองภาพรวมของบริเวณกว้าง
ความแตกต่างที่สำคัญยิ่งกว่ามาตราส่วนคือระบบการฉายภาพ (Projection System) ที่แต่ละแผนที่ใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทยใช้ระบบ Mercator Projection ซึ่งเป็นระบบที่ใช้พื้นผิวของรูปทรงกระบอกในการแปลงจากโลกทรงกลมมาเป็นแผนที่เรียบ ระบบนี้ได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากสหรัฐอเมริกา และมีคุณสมบัติเด่นในการแสดงระยะทางและทิศทางได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
หากต้องการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบนแผนที่ Mercator Projection เราสามารถวัดระยะทางและกำหนดทิศทางได้อย่างแม่นยำ แต่ข้อจำกัดของระบบนี้คือขนาดของภูมิประเทศอาจมีการผิดเพี้ยนไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตร ยิ่งไปทางขั้วโลกเหนือหรือใต้ การผิดเพี้ยนจะยิ่งมากขึ้น
ในทางตรงข้าม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชาใช้ระบบ Sinusoidal Projection ซึ่งมีลักษณะเหมือนการหั่นเปลือกส้มแล้วแผ่ออกบนพื้นผิวเรียบ หรือบางคนเปรียบเทียบว่าเหมือนรูปหัวหอม ระบบ Sinusoidal Projection นี้เป็นผลงานของนักสำรวจฝรั่งเศส มีจุดเด่นในการแสดงขนาดและพื้นที่ของภูมิประเทศได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทุกช่องสี่เหลี่ยมบนแผนที่จะมีพื้นที่เท่ากันเมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นจริง
คุณสมบัติของแผนที่ Sinusoidal Projection ทำให้เหมาะสำหรับการคำนวณพื้นที่ การวางแผนการใช้ที่ดิน หรือการประเมินทรัพยากรธรรมชาติ แต่ข้อเสียคือระยะทางที่วัดได้จากแผนที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อวัดระยะทางแนวทแยงหรือในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเส้นกึ่งกลางของแผนที่
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 ร่วมกันคือ เมื่อนำมาทาบกัน จะพบว่าไม่สามารถทาบได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากความแตกต่างพื้นฐานของระบบการฉายภาพและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
เมื่อนักสำรวจพยายามใช้แผนที่ Mercator Projection ของไทยมาทาบกับแผนที่ Sinusoidal Projection ของกัมพูชา จะพบว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ทั้งสองชุดไม่ตรงกัน แม้จะอ้างอิงข้อมูลจากพื้นที่เดียวกันก็ตาม ความไม่ตรงกันนี้เกิดจากการที่แผนที่แต่ละชุดมีวิธีการแปลงข้อมูลจากโลกทรงกลมมาเป็นพื้นผิวเรียบที่แตกต่างกัน
ในบางพื้นที่ แผนที่ของไทยอาจแสดงให้เห็นว่าเส้นเขตแดนผ่านบริเวณหนึ่ง ขณะที่แผนที่ของกัมพูชาอาจแสดงว่าเส้นเขตแดนผ่านอีกบริเวณหนึ่งที่เลื่อนไปหลายร้อยเมตรหรือแม้กระทั่งหลายกิโลเมตร การเลื่อนนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในการสำรวจ แต่เป็นผลมาจากความแตกต่างพื้นฐานของระบบการทำแผนที่
เพื่อเข้าใจว่าทำไมไทยและกัมพูชาถึงใช้แผนที่ที่แตกต่างกัน เราต้องย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่ออาณานิคมฝรั่งเศสและสยามต้องกำหนดเขตแดนร่วมกัน ในขณะนั้น เทคโนโลยีการทำแผนที่ยังอยู่ในช่วงพัฒนา และแต่ละประเทศมีแนวทางการทำแผนที่ที่แตกต่างกันตามอิทธิพลของมหาอำนาจที่ให้ความช่วยเหลือ
วิกฤตการณ์ปากน้ำเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1893 เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา เมื่อฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบข่มขู่และบังคับให้สยามต้องยอมทำสนธิสัญญาสละดินแดน ต่อมาในปี 1904 อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสได้กำหนดให้ใช้ "สันปันน้ำ" เป็นเส้นแบ่งเขตแดน และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมเพื่อสำรวจและจัดทำแผนที่
สนธิสัญญาปี 1907 ที่ทำให้สยามต้องสละเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกเอาเมืองด่านซ้ายและตราดคืน ก็เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการกำหนดเขตแดนในปัจจุบัน ในช่วงนั้น คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสได้ทำการสำรวจและเก็บข้อมูล แต่กลับประสบปัญหาในการจัดทำแผนที่ขั้นสุดท้าย
ปัญหาสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคณะกรรมการปักปันผสมได้สลายตัวไปก่อนที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จะจัดพิมพ์เสร็จในเดือนสิงหาคม 1908 การที่ฝรั่งเศสส่งแผนที่ให้ไทยภายหลังจึงเป็นเพียงการส่งมอบเอกสาร ไม่ใช่การรับรองอย่างเป็นทางการ สิ่งนี้ทำให้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ขาดความชอบธรรมทางกฎหมายอันสมบูรณ์
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ จึงได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคในการพัฒนาระบบแผนที่ให้ทันสมัย การใช้เทคโนโลยี Mercator Projection และการผลิตแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 จึงเป็นผลมาจากความร่วมมือนี้
แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทยมีความละเอียดสูง สามารถแสดงรายละเอียดภูมิประเทศได้ดีกว่าแผนที่เก่าของฝรั่งเศสมาก นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีการสำรวจที่ทันสมัยกว่า ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำสูง ดังนั้น จากมุมมองทางเทคนิค แผนที่ของไทยจึงมีคุณภาพที่ดีกว่า
ในทางตรงข้าม กัมพูชาในฐานะอดีตอาณานิคมฝรั่งเศส ยังคงใช้แผนที่และระบบที่ได้รับมอบต่อมาจากยุคอาณานิคม การยืนหยัดใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จึงไม่เพียงแต่เป็นประเด็นทางเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงมิติทางการเมืองและประวัติศาสตร์ด้วย
เมื่อใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 ในการกำหนดเส้นเขตแดนเดียวกัน ความแตกต่างที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลต่อพื้นที่หลายตารางกิโลเมตรได้ ในบางจุด เส้นเขตแดนตามแผนที่ของไทยและกัมพูชาอาจห่างกันถึงหลายกิโลเมตร สิ่งนี้หมายความว่า มีพื้นที่มากมายที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์ ทำให้เกิดเป็น "เขตพิพาท" ขึ้น
พื้นที่เขตพิพาทเหล่านี้ไม่ใช่แค่เส้นบนแผนที่ แต่เป็นพื้นที่จริงที่มีป่าไม้ แหล่งน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญคือมีประชาชนอาศัยอยู่ การที่ไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนได้อย่างชัดเจน ส่งผลต่อการบริหารจัดการพื้นที่ การให้บริการสาธารณะ และสิทธิของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในปี 1962 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นหลักฐานประกอบ ทำให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แม้ว่าศาลจะระบุชัดเจนว่าไม่ได้ยืนยันความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว แต่เพียงใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสิน
ตั้งแต่ปี 2540 ไทยและกัมพูชาได้พยายามแก้ไขปัญหาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา สามารถปักหลักเขตแดนได้แล้ว 603 กิโลเมตร จากทั้งหมด 798 กิโลเมตร แต่ยังคงเหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักหลักอีก 195 กิโลเมตร
บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ได้พยายามสร้างกรอบการทำงานร่วมกันโดยกำหนดให้ใช้เอกสารอ้างอิง 3 ชุด ได้แก่ อนุสัญญา 1904 สนธิสัญญา 1907 และแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปักปัน แต่การตีความเอกสารเหล่านี้ก็ยังคงมีความแตกต่างกัน
การประชุม JBC ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นว่า ปัญหาความแตกต่างของแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 ยังคงเป็นประเด็นหลักที่ยากจะหาข้อยุติ เมื่อกัมพูชาตัดสินใจนำ 4 พื้นที่พิพาท คือ มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
การแก้ไขปัญหาความแตกต่างของแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และการทูต การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ GPS ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) อาจช่วยสร้างแผนที่ใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
การหาจุดกึ่งกลางระหว่างคุณสมบัติของแผนที่ทั้งสองระบบ การแลกเปลี่ยนพื้นที่เพื่อความเป็นธรรม หรือการใช้กลไกระหว่างประเทศในการไกล่เกลี่ย ล้วนเป็นทางเลือกที่น่าพิจารณา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงประเด็นทางเทคนิค แต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ
ในที่สุด ความแตกต่างของแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 อาจดูเป็นเพียงตัวเลขและระบบทางเทคนิค แต่เบื้องหลังความแตกต่างนี้คือประวัติศาสตร์ อธิปไตย และอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน การหาทางออกที่ยุติธรรมและยั่งยืนจึงต้องอาศัยไม่เพียงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องการภูมิปัญญา ความอดทน และเจตนารมณ์ดีจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง