ไทยขาดดุลจีนอ่วม 4 เดือน 6.6 แสนล้าน สหรัฐจ่อเก็บภาษีสูง ส่งออกครึ่งหลัง ส่อติดลบ

14 มิ.ย. 2568 | 11:21 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มิ.ย. 2568 | 11:31 น.

ผู้เชี่ยวชาญจับตาส่งออกไทยครึ่งปีหลังชะลอตัว ลุ้นภาษีทรัมป์ปัจจัยชี้ขาดรุ่งหรือร่วง ขณะตัวเลข 4 เดือนแรกไทยขาดดุลจีน 6.6 แสนล้าน เกินดุลการค้าสหรัฐ 4.6 แสนล้าน กกร. กังวลเจรจาภาษีสหรัฐ-ไทยเสี่ยงถูกเก็บในอัตราสูง หดเป้าส่งออกทั้งปีติดลบ 0.5-0.3%

จากสหรัฐอเมริกาและจีน คู่สงครามการค้า ที่จุดชนวนเป็นสงครามการค้าโลกในเวลานี้ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยในส่วนของจีน ด้านการค้าถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทย (ทั้งในด้านการส่งออกและนำเข้า) โดยสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปจีน เช่น ยางพารา ผลไม้ (ทุเรียน มังคุด ลำไย) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนมาก เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูก และจีนเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ไทยพึ่งพา โดยช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 การค้าไทย-จีนมีมูลค่ารวม 1.49 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% โดยที่ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าจีน 6.61 แสนล้านบาท

ส่วนสหรัฐอเมริกา ก็มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยไม่แพ้กัน โดยด้านการค้า สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย สินค้าสำคัญของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า อาหารแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 การค้าไทย-สหรัฐมีมูลค่ารวม 9.37 แสนล้านบาท โดยที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 4.68 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทิศทางการส่งออกของไทยไปยังทั้งสองตลาดใหญ่ในครึ่งปีหลังยังตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน

ไทยขาดดุลจีนอ่วม 4 เดือน 6.6 แสนล้าน สหรัฐจ่อเก็บภาษีสูง ส่งออกครึ่งหลัง ส่อติดลบ

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากตัวเลขการส่งออกของไทยในภาพรวม 4 เดือนแรกปีนี้ที่ขยายตัวสูงถึง 14% (ในรูปดอลลาร์สหรัฐที่ส่งออกได้ 107,157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐขยายตัวในอัตราสูง มีปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งจากคู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้าก่อนภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทยที่ 36% จะมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐและจีน ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานสำคัญของสินค้าไทย ในไตรมาสที่สองจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และการส่งออกครึ่งหลังจะชะลอตัวลงจากในครึ่งปีแรก ทั้งนี้ การส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทย หลังมีการเจรจากับรัฐบาลไทยแล้วจะออกมาเป็นเช่นไร โดยเบื้องต้นคาดว่าสหรัฐจะเก็บภาษีตอบโต้ไทยไม่ตํ่ากว่า 10% 

รวมถึงต้องเปรียบเทียบกับอัตราภาษีตอบโต้ของประเทศคู่แข่งขันที่สหรัฐจะเรียกเก็บหลังมีการเจรจาแล้วเช่นกัน ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งหากอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐเรียกเก็บจากไทยสูงกว่าคู่แข่งขัน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็จะทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบในการแข่งขันในการส่งออกไปตลาดสหรัฐ และจะส่งออกได้ลดลง

“อีกปัจจัยสำคัญคือ ภาษีสินค้าจีนที่สหรัฐจะเรียกเก็บ หลังจากสหรัฐได้ชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนจาก 145% ลดเหลือ 30% ออกไป 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ว่าจะไปต่อหรือจะหยุดแค่นี้ ซึ่งหากสหรัฐมีการเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราเดิมที่ 30% และสินค้าไทยถูกเก็บในอัตราสูงสุดที่ 36% จะยิ่งทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับสินค้าจีน

แต่หากไทยถูกเก็บตอบโต้ในอัตราตํ่ากว่าคู่แข่งขันทั้งจีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็อาจทำให้สินค้าไทยพลิกกลับมาได้เปรียบ ซึ่งต้องลุ้นผลการเจรจาภาษีตอบโต้ของรัฐบาลไทยกับสหรัฐว่าจะออกมาเช่นไร”

สอดคล้องกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในการประชุมประจำเดือนเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ปรับลดคาดการณ์ส่งออกไทยทั้งปีนี้ลงเหลือติดลบ 0.5-0.3% จากเดิมเดือนเมษายนคาดขยายตัว 0.3-0.9% เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการไทยเป็นการใช้สินค้าคลัง ไม่ได้มีการผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง ซึ่งผู้ส่งออกส่วนใหญ่ในเวลานี้มีความกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทยที่ยังไม่มีความชัดเจน และเกรงว่าสหรัฐจะนำไปเชื่อมโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา และทำให้ไทยถูกเก็บภาษีสูง