ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ร้อนระอุตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ในวันนี้ (14 มิ.ย.) ถูกจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเด็นการเจรจาเขตแดน การยกระดับมาตรการตอบโต้ของกัมพูชา และความเสี่ยงต่อการปิดด่านชายแดนแบบเต็มรูปแบบ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การประชุม JBC วันนี้น่าจะได้ข้อสรุปที่ไม่ดีนักเพราะท่าทีของผู้นำกัมพูชาที่ผ่านมามีลักษณะแข็งกร้าวต่อเนื่อง พร้อมเปรียบเทียบสถานการณ์ว่า “เหมือนหนังตบ-จูบที่มีแต่การเติมน้ำมันเข้ากองไฟ”
หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นปิดด่านชายแดน 100% ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 16 ด่าน (ถาวร 7 ด่าน ชั่วคราว 9 ด่าน) จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศหายไปทันทีวันละประมาณ 800 ล้านบาท โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นด่านการค้าหลักคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการค้าชายแดนระหว่างกัน
หนึ่งในมาตรการที่เป็นไปได้ หากความขัดแย้งยืดเยื้อ คือการผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ราว 1.2 ล้านคนในไทย โดยประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในระบบถูกกฎหมาย โดย ดร.อัทธ์ ระบุว่า แม้กัมพูชาจะประกาศพร้อมรับแรงงานกลับ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่สามารถรองรับคนจำนวนมหาศาลได้แน่นอน เพราะภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนยังไม่แข็งแรงเพียงพอ โดยเฉพาะโครงการของจีนในกัมพูชาจำนวนมากยังอยู่ในสภาพตึกร้าง
การส่งกลับแรงงานจำนวนมาก ยังอาจย้อนศรกลับมากระทบต่อเศรษฐกิจไทยเช่นกัน เนื่องจาก แรงงานกัมพูชาเป็นกำลังสำคัญในหลายภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เสื้อผ้า และบริการ การขาดแคลนแรงงานเฉียบพลันจะกระทบห่วงโซ่การผลิต และต้นทุนแรงงานของภาคเอกชน อย่างไรก็ดีคำถามคือหากไทยส่งแรงงานกัมพูชากลับ หรือแรงงานกลับโดยสมัครใจ รัฐบาลกัมพูชาจะหางานให้คนกว่าล้านคนทำได้หรือไม่
ส่วนประเด็นการตอบโต้ด้วยการตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ถูกยกขึ้นมาถกในวงกว้าง ดร.อัทธ์ ให้ข้อมูลว่า แม้ไทยจะเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกไฟฟ้าไปยังกัมพูชา แต่สัดส่วนที่กัมพูชาพึ่งพาไทยถือว่าต่ำ เมื่อเทียบกับการนำเข้าจาก สปป.ลาว และเวียดนาม โดยเฉพาะลาวที่เป็นแหล่งหลักของไฟฟ้ากัมพูชา ขณะที่เวียดนามแม้จะมีศักยภาพ แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานภายในประเทศ
ด้านระบบอินเทอร์เน็ต แม้กัมพูชาจะเชื่อมต่อผ่านโครงข่ายไทย แต่ยังมีทางเลือกจาก สายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อมาเลเซีย เวียดนาม รวมถึงจีน ซึ่งในกรณีที่ไทยตัดการเชื่อมต่อ กัมพูชาก็ยังสามารถหาทางเชื่อมผ่านประเทศเหล่านี้ได้แม้ต้นทุนอาจสูงขึ้น และอาจกระทบความสะดวกของผู้บริโภคชาวกัมพูชาที่นิยมรับชมละครและสื่อไทย
ด้านการค้า ข้อมูลล่าสุด สินค้าไทยในตลาดกัมพูชามีส่วนแบ่งเหลือเพียง 10% เท่านั้น ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีตที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน ขณะนี้ จีนขึ้นแท่นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งกว่า 50% ตามด้วยเวียดนามที่มีส่วนแบ่งราว 25-30% สะท้อนการพึ่งพิงเศรษฐกิจไทยของกัมพูชาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากจีน (FDI) ซึ่งเข้ามาทำให้อุตสาหกรรมกัมพูชาเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนจีนมากขึ้น ทั้งด้านวัตถุดิบ เครื่องจักร เทคโนโลยี ตลอดจนสินค้าสำเร็จรูป นอกจากนี้ยังมีการวางระบบโลจิสติกส์ และการค้าชายแดนร่วมกันผ่านโครงข่าย RCEP และ Belt and Road Initiative
อีกหนึ่งประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์กำลังจับตามอง คือ การขยายบทบาทของเงินหยวนในการทำการค้าและการลงทุนในกัมพูชาและลาว โดย ดร.อัทธ์ ระบุว่า กัมพูชาน่าจะมีสัดส่วนการใช้เงินหยวนมากกว่าลาวด้วยซ้ำ เพราะทุนจีนเข้าไปมากกว่าในหลายภาคส่วน ทั้งกาสิโน เมืองใหม่ อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน จนถึงระบบธนาคาร
ขณะที่การใช้เงินบาทของไทยในทั้งสองประเทศเริ่มลดลง ตามแนวโน้มการแทรกซึมของระบบการเงินจีน ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ของปักกิ่งในการดันเงินหยวนให้กลายเป็น “เงินกลาง” ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับจีน
บทสรุปในภาพรวม ดร.อัทธ์ ย้ำว่า ข้อพิพาทครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องพรมแดน แต่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศเพื่อนบ้านเริ่มลดบทบาทไทยในระบบเศรษฐกิจของเขา และหันไปพึ่งพิงจีนมากขึ้น ดังนั้น ไทยต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชน นักลงทุน และแรงงานในประเทศให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความซับซ้อน