"นายกฯ" ยันคุยตรง "ฮุน เซน-ฮุน มาเนต" ยึดเจรจา JBC อย่างสันติวิธี

10 มิ.ย. 2568 | 09:05 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มิ.ย. 2568 | 09:11 น.

"นายกฯแพทองธาร ชินวัตร" แถลงหลังครม. เผยคุยตรงกับ "ฮุน เซน และ ฮุน มา เนต " ด้วยตัวเอง ยืนยันเจรจาผ่านสันติวิธี ใช้กลไก JBC พร้อมขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับประเทศ

วันนี้ (10 มิ.ย. 2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการทุกทางเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยการประสานงานและการพูดคุยร่วมกันระหว่างหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง กองทัพ และการประสานงานในระดับนโยบาย ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากทุกฝ่าย ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างสงบเรียบร้อย

 

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าในการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยในหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับพื้นที่และในระดับหน่วยงานความมั่นคง โดยในระดับนโยบายรัฐบาลได้มีการเจรจาผ่านการพูดคุยกับผู้นำของกัมพูชา รวมทั้งนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา โดยทุกการพูดคุยเกิดขึ้นเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทยและผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยใช้วิธีการเจรจาทางสันติวิธี เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรง และสร้างความเข้าใจระหว่างสองประเทศ

ในระดับพื้นที่หน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพของทั้งสองประเทศก็ได้มีการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่อง โดยผู้นำเหล่าทัพทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันในการพูดคุยและประสานงานบริเวณชายแดน โดยการพูดคุยในลักษณะนี้ได้รับการยอมรับและดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การเจรจาเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสร้างความเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น

 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

 

นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ประสานงานให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพของกัมพูชา และนายญึก บุญชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นผู้ประสานงานในพื้นที่ที่มีการพิพาท ซึ่งได้มีการรายงานต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการทำความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่บริเวณชายแดน เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นี้ โดยได้มีการยืนยันกับทุกฝ่ายว่าการประชุมจะเกิดขึ้นแน่นอน และเป็นการพัฒนาและส่งเสริมการพูดคุยระหว่างสองประเทศภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทางรัฐบาลยืนยันว่ามีการดำเนินการในลักษณะนี้เป็นไปตามมาตรฐานและยอมรับในเวทีสากล

 

สำหรับการที่รัฐบาลกัมพูชามีความประสงค์จะนำเรื่องนี้ไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่าไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก และได้อธิบายว่าไทยจะดำเนินการแก้ไขข้อพิพาทผ่านวิธีการทางการทูตซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้เสมอในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวถึงการพูดคุยระหว่างสองประเทศที่บางครั้งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดให้สาธารณชนรับทราบได้ เนื่องจากต้องเคารพข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของการเจรจาระหว่างสองประเทศ

 

นายกรัฐมนตรียังได้พูดถึงมาตรการระหว่างประเทศที่บริเวณชายแดน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านตามกรอบระยะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่มีการปิดด่านถาวรตามที่มีข่าวลือ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังมีการค้าขายระหว่างประเทศ หากปิดด่านถาวรจะส่งผลเสียต่อประชาชนอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อจัดการในเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ในท้ายที่สุด นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเจรจาในครั้งนี้ และกล่าวว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้พูดคุยกับหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ และบางประเด็นไม่อยากให้พูดออกมาในที่สาธารณะเพราะอาจเกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อสถานการณ์ แต่ทั้งหมดนี้ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับกัมพูชาได้เป็นอย่างดี และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกภายในประเทศ และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน

 

ส่วนการตอบคำถามเกี่ยวกับการสงบศึกและการไม่เกิดสงครามนั้น นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันสั้น ๆ ว่า "ค่ะ" เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ด้วยสันติวิธีและไม่เกิดความรุนแรง

 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงท่าทีของผู้นำกัมพูชาที่มีการโพสต์ข้อความในเชิงลบผ่านโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวว่าไทยและกัมพูชามีการสื่อสารกันในลักษณะเดียวกันในการพูดถึงการปรับกำลังของทั้งสองฝ่าย และไม่อยากใช้คำว่าถอย แต่ใช้คำว่า "ปรับกำลัง" เพื่อให้เกียรติทั้งสองฝ่าย

 

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าไทยพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบและมีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขอให้ทั้งสองประเทศยึดมั่นในหลักการของสันติวิธีและการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างมีความจริงใจ ไม่ให้เกิดปัญหาต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันผลักดันเศรษฐกิจและความสงบให้เกิดขึ้นในอนาคต