สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

09 พ.ค. 2568 | 11:04 น.
อัปเดตล่าสุด :09 พ.ค. 2568 | 11:18 น.

"อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.“ ชู “สาหร่าย”คือทองคำเขียว พืชแห่งอนาคตภายใต้แนวทางเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ตอบโจทย์สร้างรายได้ใหม่ เพิ่มความมั่นคงอาหาร ลดโลกร้อน ลุยพัฒนาอุตฯสาหร่ายครบวงจร ชิงตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยหลังบรรยายพิเศษในงานประชุมวิชาการสาหร่ายและแพลงตอนแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ที่เชียงใหม่ จัดโดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ว่า

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนา "สาหร่าย"หรือ "ทองคำเขียว" ของไทยเป็นพืชและอาหารแห่งอนาคต (Future Crop & Future Food) ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผสมผสานภูมิปัญญาไทยยกระดับสู่เกษตรมูลค่าสูง เพิ่มรายได้ประเทศและชุมชน ลดการนำเข้าและตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร พร้อมลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน

  • ทั้งนี้จุดเด่นของการส่งเสริมสาหร่ายคือ

1. ลดการขาดดุลการค้าและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร

ไทยนำเข้าสาหร่ายติดท็อปเทนของโลก การพัฒนาการเพาะเลี้ยงและแปรรูปในประเทศจะช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เช่น บะหมี่สาหร่าย อาหารเสริม เครื่องสำอาง และปุ๋ยชีวภาพ   

สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

2. สนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) 2050

สาหร่ายช่วยดูดซับ CO₂ ได้มากกว่าไม้บก5เท่าและเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 สอดคล้องกับทศวรรษวิทยาศาสตร์มหาสมุทรแห่งสหประชาชาติ

3. ขยายผลสู่ชุมชน 50 จังหวัด

ผ่านความร่วมมือของกรมประมง และเครือข่ายวิจัย เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน (จันทบุรี) และฟาร์มทะเลตัวอย่าง (เพชรบุรี) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงและแปรรูปสู่เกษตรกร

4. ต่อยอดอุตสาหกรรมสีเขียว

แปรรูปสาหร่ายเป็น พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) และน้ำมันชีวภาพ (Biofuel) ลดการใช้พลาสติกจากปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์โลกที่หันมาใช้วัสดุย่อยสลายได้

สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

ทั้งนี้ ไทยเริ่มมีการพัฒนาสาหร่ายอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2563 ตามนโยบายอาหารแห่งอนาคต( Future Food Policy)ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งตนเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในขณะนั้นได้รับนโยบายมาส่งเสริมสาหร่ายทะเล (Seaweed) และสาหร่ายน้ำจืดตั้งแต่การผลิต การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ การแปรรูปและการตลาด

โดยมอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งและศูนย์เพาะเลี้ยงน้ำจืดเร่งเดินหน้าในการรวบรวมพันธุ์ การเพาะเลี้ยงและการเผยแพร่พันธุ์ดำเนินการในพื้นที่ 50 จังหวัด แบ่งเป็น 23 จังหวัดชายฝั่งทะเลรวมกทม.และอีก 28 จังหวัดโดยความร่วมมือระหว่างกับหลายหน่วยงาน โดยพัฒนาสาหร่ายเป็นผลผลิตและผลิตภัณฑ์ชุมชนสร้างแหล่งอาหารและรายได้ใหม่ให้ประชาชนในท้องถิ่นและเป็นวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมต่าง ๆ

สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินกว่า 40 ปีโดยคุณเจียมจิตต์ บุญสม ผู้ตั้งชื่อ “สาหร่ายเกลียวทอง” โดยขยายผลเป็น “บุญสมฟาร์ม” ที่อำเภอแม่วาง เชียงใหม่มีพื้นที่เพาะเลี้ยงสาหร่ายสไปรูลิน่าไม่ต่ำกว่า 40,000 ตารางเมตร รวมถึงศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย(ALEC) ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)ร่วมกับปตท.พัฒนาสาหร่ายน้ำจืดมากว่า 20 ปีโดยเฉพาะโครงการน้ำมันชีวภาพ ปุ๋ยชีวภาพอัลจินัว    

สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

ปัจจุบันยังมีอีกหลายบริษัทหันมาพัฒนาสาหร่ายเชิงพาณิชย์เช่น บริษัทบางจากฯ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง บริษัทล็อกซเล่ย์บริษัทไทยยูเนี่ยน บริษัทเถ้าแก่น้อย บีจีซี (BGC) และ บริษัทOverDaBlueซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ รวมทั้งโครงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายในกระชังของมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมตร่วมกับชุมชนชาวประมงที่จังหวัดกระบี่และเป็นต้น

นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมนและอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กล่าวอีกว่า สาหร่ายไม่ใช่แค่พืชท้องถิ่น แต่เป็น “ทองคำเขียว” ที่จะพลิกโฉมเกษตรมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของไทยและของโลกในมิติเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยมีคุณประโยชน์มากมาย ได้แก่

1. อุตสาหกรรมอาหาร

สาหร่ายใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคิดเป็น 77%ของตลาด (ปี 2024) โดยเป็นส่วนประกอบในอาหารแปรรูป อาหารเสริม และเครื่องดื่ม  ตัวอย่างเช่น สาหร่ายโนริ วากาเมะ และผงสาหร่ายในผลิตภัณฑ์วีแกน 

2. อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง

โดยสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่นฟูคอยแดนและแอลจีเนตสำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและยา 

3. ความยั่งยืนสิ่งแวดล้อม

 สาหร่ายดูดซับก๊าซเรือนกระจกคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) มากกว่าต้นไม้ 5 เท่า และใช้ทำผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based Packaging)  เช่นบริษัทZeroCircleของอินเดีย

4. เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel)

ความต้องการเชื้อเพลิงสะอาดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สาหร่ายเป็นวัตถุดิบผลิตน้ำมันชีวภาพพลังงานทางเลือก และน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF)

ด้วยเหตุนี้รัฐบาลในหลายประเทศสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสาหร่ายอย่างจริงจัง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย อเมริกา ไอซ์แลนด์ และล่าสุด อินเดียตั้งเป้าผลิต 1 ล้านตันต่อปีภายในปี 2025

สั่งลุย “ทองคำเขียว” สาหร่ายครบวงจร ชิงเค้กตลาดโลก 2.6 ล้านล้าน

“การส่งออกเป็นอีกเป้าหมายสำคัญเพราะมูลค่าตลาดโลกของสาหร่ายในปี 2024 สูงถึง 35.35 พันล้านดอลลาร์ (1.5 ล้านล้านบาท)ทั้งตลาดการเพาะเลี้ยงและตลาดสาหร่ายเชิงพาณิชย์ คาดการณ์ปี 2025 จะเพิ่มเป็น 50.03 พันล้านดอลลาร์(1.6 ล้านล้านบาท) และ 80 พันล้านดอลลาร์ (2.6 ล้านล้านบาท) ในปี 2029 ด้วยอัตราเติบโดปีละกว่า 12.1%” นายอลงกรณ์ กล่าว