นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand) เปิดเผยว่า ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ได้ประเมินว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกเป็นลูกโซ่ จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงจาก 3.3% เหลือ 2.8% ในปีนี้
ส่วนมิติการค้านั้น การค้าระหว่างสองประเทศคิดเป็นสัดส่วน 3% ของตลาดการค้าโลกซึ่งมีมูลค่า 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อปี 2024 มูลค่าการส่งออก-นำเข้าของสหรัฐและจีนอยู่ที่ 582.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐส่งไปจีน 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนส่งไปสหรัฐ 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้องค์การการค้าโลก (WTO) มองว่า ถ้าสงครามการค้ายังสู้กันด้วยการขึ้นภาษีจะทำให้ 2 ชาติมหาอำนาจยุติการค้าขายกัน แต่ตลาดโลกอีก 97% ยังค้าขายต่อไปได้ นับเป็นตัวอย่างมุมมองที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตามผลกระทบยังมีอีกหลายมิติ ไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจการค้า แต่เป็นทั้งโอกาสและวิกฤตขึ้นกับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองของทั้ง 2 มหาอำนาจและอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงลำดับต้น ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ในครั้งนี้ ซึ่งจะรอด จะร่วง หรือจะรุ่ง จะเป็นโอกาสหรือวิกฤตสำหรับก้าวต่อไปของประเทศไทย
ทั้งนี้สามารถหาคำตอบได้ในงานเสวนาโต๊ะกลมของสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ ในงาน FKII National Dialogue“โอกาสหรือวิกฤติใหม่เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน“ วันพุธที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 13.00-15.30 น.ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา กรุงเทพมหานคร ซึ่งขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมงาน และร่วมแสดงความเห็นเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทย
งานนี้มีวิทยากรร่วมเสวนา อาทิ นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand, นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา (TVA) และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand ผู้เชี่ยวชาญด้านอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี, นายเกษมสันต์ วีระกุล ประธานซีเอ็ดนักวิชาการอิสระ สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน, ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจีน เป็นต้น