KEY
POINTS
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ได้ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างสุดขั้ว โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับ ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น และมี ความถี่ของการเกิดพายุและน้ำหลากที่คาดการณ์ได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากบนโครงข่ายถนนทั่วประเทศ
สะท้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลารวมถึงอำเภอใกล้เคียง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถอพยพหรือย้ายออกจากพื้นที่กว่า 2.4 แสนคน
ล่าสุดรัฐบาลได้ประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินใน จังหวัดสงขลาเป็นการเร่งด่วน โดยมีผลตั้งแต่วันที่25พฤศจิกายนไปจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2569
ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคม ได้เร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ ที่มีโครงข่ายของถนน และทางรถไฟ กีดขวางทางน้ำ จึงสั่งการให้ระเบิด หรือเจาะช่องทางระบายน้ำออกทะเลสาปสงขลา
หลังจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่
โดยพบจุดที่สามารถเปิดแนวระบายน้ำได้ เช่น การระเบิดถนนที่เป็นแนวปิดกั้นน้ำ หรือเปิดทางระบายน้ำบริเวณถนนสายรถไฟเก่าซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว พร้อมทั้งรายงานนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ร่วมกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนต่อไป
นอกจากนี้ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เป็นหน่วยงานหลัก จึงได้ปรับแผนยุทธศาสตร์และโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่ เพื่อพลิกโฉมถนนให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และลดบทบาทของถนนที่เคยทำหน้าที่เป็น “คันขวางทางน้ำไหล” ให้หมดไป
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้การจัดการน้ำท่วมมีความซับซ้อนกว่าเดิม ปริมาณน้ำหลากสูงสุด (Peak Flow) ในช่วงฤดูฝนได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และระดับน้ำทะเลหนุนก็สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่ชายฝั่ง ทำให้การออกแบบทางวิศวกรรมถนนแบบเดิมที่อิงกับสถิติอุทกวิทยาในอดีต (Historical Data) ไม่เพียงพออีกต่อไป
กระทรวงคมนาคม จึงได้นำเอาเกณฑ์การออกแบบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเน้นการออกแบบโครงสร้างให้รองรับเหตุการณ์น้ำท่วมที่มีความรุนแรงระดับสูง เช่น น้ำท่วมรอบ 100 ปี หรือ 300 ปี เพื่อให้โครงข่ายถนนยังคงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤต ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเส้นทางโลจิสติกส์และการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของกระทรวงคมนาคมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563-ปัจจุบัน) เน้นที่การปรับปรุงทางวิศวกรรมโครงสร้างเพื่อจัดการกับปัญหาถนนขวางทางน้ำโดยตรง แบ่งเป็น การยกระดับคันทาง ซึ่งเป็นมาตรการหลักในพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
ทั้งนี้การยกถนนและสะพานให้สูงขึ้นในโครงการก่อสร้างใหม่หรือโครงการปรับปรุงใหญ่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เป็นการออกแบบให้ระดับของคันทางและโครงสร้างสะพาน/ท่อลอด สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในอดีตเพื่อให้ถนนใช้งานได้ตามปกติในช่วงน้ำหลาก เช่น ทางหลวงหมายเลข 3094 (นครชัยศรี จ.นครปฐม)
โดยกรมทางหลวง (ทล.) ได้ดำเนินการยกระดับคันทางให้สูงขึ้นประมาณ 58 ซม. และเปลี่ยนผิวทางเป็นคอนกรีต เพื่อให้ถนนพ้นจากปัญหาน้ำเอ่อล้นจากแม่น้ำท่าจีนและน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะพื้นที่ได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ปัญหาหลักคือถนนเดิมที่มีท่อลอดหรือสะพานขนาดเล็กเกินไปที่ไม่สามารถระบายน้ำหลากได้ทัน ทำให้เกิดการท่วมขังและกัดเซาะผิวทาง โดยแนวทางแก้ไข คือ
การขยายและเพิ่มช่องทางระบายน้ำ ซึ่งเป็นการขยายขนาดของท่อลอดทางขวางและอาคารระบายน้ำ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพียงพอต่อปริมาณน้ำหลากที่เพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้ถนนกลายเป็นคันขวางทางน้ำ และช่วยเร่งการระบายน้ำจากพื้นที่ฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งได้รวดเร็วขึ้น
ที่ผ่านมากรมทางหลวง (ทล.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อเพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบนโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่วิกฤตที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก
โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์โครงสร้างเดิมและการขยายช่องเปิด/ท่อระบายน้ำ ในจุดที่เป็นคันขวางทางน้ำไหล รวมถึงกำหนดมาตรการปรับปรุงอาคารระบายน้ำและยกระดับถนนในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากน้ำหลากในลุ่มน้ำชีและแม่น้ำมูลในจังหวัดยโสธร,อุบลราชธานี,สุโขทัยและกำแพงเพชร
ด้านกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมและมาตรการรับมือในเชิงปฏิบัติการ โดยทำความสะอาดช่องระบายน้ำ กำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำ เตรียมพร้อมบุคลากรและเครื่องมือ
รวมถึง สะพานเบลีย์ (สะพานเหล็กชั่วคราว) เพื่อใช้ในกรณีที่ถนนหรือสะพานถูกน้ำท่วมตัดขาด
ฟากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่ดูแลทางพิเศษ (ทางด่วน) มีมาตรการเตรียมพร้อมรับมือฤดูฝน โดยมุ่งเน้นที่การบำรุงรักษาโครงสร้างที่มีอยู่
โดยการทำความสะอาดท่อระบายน้ำและดำเนินการตรวจสอบและทำความสะอาดท่อระบายน้ำบนทางพิเศษและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อป้องกันการอุดตันจากขยะและสิ่งปฏิกูล ตลอดจนการจัดทีมเฝ้าระวังประจำจุดเสี่ยงน้ำท่วมขังเพื่อเข้าแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีในวันที่มีฝนตกหนัก
นอกจากนี้กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้มีการปรับปรุงและดำเนินการโครงการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ประมาณปี 2563-ปัจจุบัน) อย่างต่อเนื่อง
โดยเน้นการยกโครงสร้างทางและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่วิกฤตที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ พบว่ามีหลายโครงการที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้ เช่น การปรับปรุงถนนในพื้นที่ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ช่วงเข้าเมืองหัวหิน)
กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังเป็นแอ่งกระทะในหลายจุด โดยมีการปรับปรุงผิวจราจรและระบบระบายน้ำใต้ทางสามารถรองรับปริมาณน้ำฝนและระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดีโครงการของกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ส่วนใหญ่มักดำเนินการในลักษณะของการ ปรับปรุงถนนเดิม ให้มีระดับที่สูงขึ้น และ ขยายขนาดท่อ/ช่องระบายน้ำ ในบริเวณที่เป็นคันขวางทางน้ำไหล เพื่อลดความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก
โดยมีการใช้ข้อมูลระดับน้ำท่วมสูงสุดในอดีตมาเป็นเกณฑ์ในการออกแบบใหม่
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า สำหรับแผนพัฒนาระบบรางในการรับมือปัญหาน้ำท่วม เบื้องต้นกรมฯ ได้ดำเนินโครงการศึกษาจัดทำมาตรฐานระบบระบายน้ำโครงสร้างพื้นฐานระบบราง
โดยมีการจัดทำแนวทางการปรับปรุงทางกายภาพ พร้อมกับแผนปฏิบัติการ (action plan) ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในระบบราง
ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาทางรถไฟที่เสียหายจากพื้นที่น้ำท่วมจะดำเนินการระยะเร่งด่วน โดยเร่งสำรวจและวางแผนเข้าดำเนินการซ่อมแซมโครงสร้างทางรถไฟที่ได้รับความเสียหายเพื่อเปิดการเดินรถ
จากนั้นดำเนินการออกแบบและปรับปรุงระบบระบายน้ำให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า กรมฯ ได้พัฒนาระบบแจ้งเหตุเมื่อเกิดภัยต่อระบบราง (DRT Alert) ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สทนช. กรมอุตุนิยมวิทยา GISTDA เพื่อวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระบบราง
รวมถึงเป็นช่องทางสำหรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ใช้แจ้งและติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทันที
สำหรับแผนรับมือฉุกเฉินในการกู้คืนระบบขนส่งทางราง หลังน้ำลดให้กลับมาใช้งานได้เร็ว เบื้องต้นได้ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างทางรถไฟ รวมถึงสะพาน ระบบระบายน้ำทันทีหลังน้ำลด
นอกจากนี้จะต้องซ่อมแซมโครงสร้างทางรถไฟที่เสียหายตามมาตรฐานหรือคู่มือบำรุงรักษา เช่น การเสริมคันทาง การเติมหินโรยทาง และการติดตั้งโครงสร้างป้องกันชั่วคราวเพื่อให้เปิดทางได้เร็วที่สุด
รวมทั้งทำความสะอาดสิ่งกีดขวาง ขยะ ดินโคลนหรือเศษตะกอน ในระบบระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาในเหตุการณ์ถัดไป
อย่างไรก็ดียังมีการจำกัดความเร็วหรือหยุดเดินรถในพื้นที่เสี่ยง จนกว่าจะประเมินความปลอดภัยได้ครบถ้วนและปรับปรุงข้อมูลและทบทวนซักซ้อมแผนฉุกเฉิน เพื่อใช้เป็นบทเรียนวางแนวทางป้องกันในเหตุการณ์ครั้งต่อไป