KEY
POINTS
ความยืดเยื้อในการแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท โดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือซีพี สัญญาสัมปทาน 50 ปี ได้ส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตลอดจนโครงการเมืองใหม่ อีอีซีซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค
มากไปกว่านั้น การประกาศนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ภายใต้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ไม่สนับสนุนให้เกิดการแก้ไขสัญญาสัมปทาน เนื่องจากเกรงว่ารัฐเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ยิ่งซ้ำเติมโครงการอาจเกิดความให้ล่าช้าออกไป และอาจมีผลกระทบโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่โดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินฯอาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย หากเอกชนผู้รับสัมปทานเดินต่อไม่ไหว
ท่ามกลางความเห็นไม่ตรงกันระหว่าง เอกชนผู้รับสัมปทานและอัยการสูงสุด ที่ระบุว่าต้องการให้เอกชนวางหลักประกันครอบคลุมความเสี่ยง ทั้งงานโยธา งานระบบ และขบวนรถไฟ โดยให้คงมูลค่าไว้จนกว่าจะครบ 2 ปี นับจากวันที่ รฟท. ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถ
ขณะที่เอกชนผู้รับสัมปทาน ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อรฟท.เพื่อส่งต่อให้อัยการสูงสุดพิจารณา โดยยืนยันว่าได้มีการกำหนดให้วางหลักประกันครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมดตามมูลค่าโครงการไว้แล้วและข้อแนะนำของอัยการสูงสุดดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการวางหลักประกันที่ซ้ำซ้อนได้
ย้อนไปก่อนหน้านี้ โครงการไฮสปีด 3 สนามบินและโครงการเมืองการบินภาคตะวันออก ถูกออกแบบให้เป็นระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก โดยรถไฟความเร็วสูงจะทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ในการขนส่งผู้โดยสารและนักลงทุนจากกรุงเทพฯ สู่ประตูเมืองการบินแห่งใหม่
ที่ชัดเจนที่สุดคือการที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ต้อง เลื่อนการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ให้กับเอกชนคู่สัญญาโครงการเมืองการบินอู่ตะเภา (บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA) ออกไปหลายครั้ง โดยเงื่อนไขสำคัญที่ขาดหาย คือ การที่โครงการไฮสปีด 3 สนามบินยังไม่คืบหน้า
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่โครงการไฮสปีด 3 สนามบินที่ล่าช้ากว่า 6 ปี และไม่สามารถไปต่อได้จนมาถึงยุครัฐบาลนายอนุทิน ซึ่งมีอายุเพียง 4 เดือน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 โดยนายพิพัฒน์ ออกมายืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกสัญญา เบื้องต้นจะเชิญเอกชนคู่สัญญาเข้ามาหารือร่วมกันในไม่ช้านี้
โดยมองว่าการดำเนินโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตอีอีซี มี 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.ส่วนราชการสามารถคืนพื้นที่ได้จนภาคเอกชนสามารถดำเนินงานได้หรือไม่ หรือ ส่วนราชการยังไม่สามารถคืนพื้นที่ให้เอกชนได้จนไม่สามารถเริ่มงานได้ หรือ 2.ภาคเอกชนติดขัดเรื่องอะไร ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องหารือกัน
“สัญญาที่เซ็นไปแล้วนั้น ที่ผ่านมาได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดว่า กระทรวงคมนาคมจะพยายามทำตามข้อแนะนำ สัญญาส่วนไหนที่สามารถทำได้ รัฐต้องดำเนินการ แต่สัญญาส่วนไหนที่รัฐทำไม่ได้หรือผู้ประกอบการทำไม่ได้ต้องมานั่งดูกัน โดยการแก้สัญญาทางกระทรวงจะทำตามคำแนะนำของอัยการสูงสุด” นายพิพัฒน์ กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับ 18 ข้อสังเกตของอัยการสูงสุดถึงประเด็นการแก้ไขสัญญาที่จะทำให้ภาครัฐเสียเปรียบที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่เอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อภาระทางการคลังในอนาคตนั้น
ทั้งนี้ทางอีอีซียืนยันว่ามีคำชี้แจงและคำอธิบายครบทั้ง 18 ข้อ ต่ออัยการสูงสุด โดยข้อสังเกตที่ให้มีการแก้ไขสัญญา เบื้องต้นทางเอกชนผู้รับสัมปทานจะขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยจะต้องส่งหนังสือกลับไปยังอัยการสูงสุดพิจารณา
หากอัยการสูงสุดเห็นและยืนยันตามเดิมให้แก้สัญญา ซึ่งทางเอกชนจะต้องดำเนินการ หรือหากอัยการสูงสุดมีการแก้ไขข้อสังเกตกลับมาหลังที่มีการชี้แจงก็สามารถเดินหน้าต่อได้
แต่ล่าสุดทราบว่าผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยยื่นหนังสือลาออก คาดว่าจะกระทบต่อความล่าช้าการแก้ไขสัญญาไฮสปีดออกไปอีก
กรณีหากไม่มีการแก้ไขสัญญาในรัฐบาลนี้จะกระทบต่อภาพรวมโครงการหรือไม่นั้น มองว่า ทางภาครัฐยังคงใช้สัญญาเดิม โดยบริหารสัญญาเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อได้ แต่หากจะกลับไปใช้สัญญาเดิม 100% ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะต้องมีการปรับแก้ไขสัญญาในด้านอื่นๆว่าสามารถทำได้หรือไม่
ขณะที่การแก้ไขสัญญาที่มีการปรับรูปแบบการจ่ายเงินระหว่างการก่อสร้างแทนที่จะรอให้งานเสร็จ 100% แล้วจ่ายตามสัญญาเดิม ซึ่งประเด็นนี้อาจเข้าใจยาก เพราะความเสี่ยงในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา
เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงปี 2561-2562 ที่มีการลงนามสัญญาร่วมกับเอกชน
“หากโครงการไฮสปีด 3 สนามบินไม่ได้รับการแก้ไขสัญญาเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกไม่เกิดเพราะเดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นสนามบินของกองทัพเรือสำหรับคนที่อยู่จังหวัดระยองและชลบุรีมาใช้บริการ แต่การทำให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จำเป็นต้องมีไฮสปีดเพื่อให้การเดินทางจากอู่ตะเภาไปยังกรุงเทพฯใช้เวลาไม่นานและได้รับความสะดวกมามากขึ้น” แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าว
นอกจากนี้ทางเอกชนผู้รับสัมปทานของโครงการสนามบินอู่ตะเภา มีความชัดเจนอยู่แล้วหากไม่มีไฮสปีด 3 สนามบิน อาจจะบอกเลิกสัญญา ทำให้ในปัจจุบันทางอีอีซีมีการหารือกับเอกชนอยู่ตลอด โดยเป็นการปรับแก้สัญญาโครงการสนามบินอู่ตะเภา 2 ประเด็น ประกอบด้วย
1.ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ถดถอยลงและนักท่องเที่ยวลดลง 2.ผลกระทบอีอีซีเคยยืนยันว่าไฮสปีดต้องเกิดขึ้น แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง ทำให้เอกชนได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกันในสัญญาของรฟท. มีการระบุให้เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการสนามบินอู่ตะเภาต้องเข้ามาดำเนินการและลงทุน โดยการพัฒนาสนามบินจะเป็นไปตามการเติบโตของผู้โดยสารที่ใช้บริการ ซึ่งจะต้องเข้ามาก่อสร้างสนามบินเมื่อมีความชัดเจนจากไฮสปีด 3 สนามบิน
ส่วนโครงการศูนย์ธุรกิจ อีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะหรือ เมืองใหม่อีอีซี มองว่าได้รับผลกระทบทางอ้อม รวมถึงความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ยื่นสิทธิพิเศษ
“หากภาครัฐทำงานร่วมกับเอกชนในรูปแบบการร่วมลงทุน PPP ได้เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจที่จะร่วมทุนกับเรา และมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้เอาเปรียบเอกชนจนทำให้ขาดทุน หากเอกชนขาดทุนคงไม่สามารถลงทุนต่อได้” แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าว