KEY
POINTS
จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาสู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มีอายุเพียง 4 เดือน ก่อนนำไปสู่การยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนมกราคม 2569 นั้น
ในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีหลายแสนล้านบาทนั้น ยังคงผลักดันโครงการค้างท่ออย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันยังพบว่าในรัฐบาลนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเร่งรัดการก่อสร้าง และการเปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ พร้อมไปกับการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 กระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน
สำหรับนโยบายแรกเป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนทันที ที่จะครอบคลุมการใช้บริการทั้งระบบรถไฟฟ้า รถเมล์ โดยใช้แนวทางระบบตั๋วร่วม
เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะมีการจัดทำแผนแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาในเรื่องนี้ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกันกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาว่าควรใช้อัตราค่าโดยสารเท่าไร คาดว่าจะหารือร่วมกันได้ภายในเร็วๆนี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ยกเลิกมติครม.เดิมที่อนุมัติเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2568 ที่มีการต่ออายุรถไฟสายสีแดงและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2569 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย.2568 แทน รวมถึงมาตรการลดค่าผ่านทางพิเศษ(ทางด่วน)ที่น่าจับตาสำหรับผู้ใช้ทาง
“ในระหว่างนี้ภายใน 2 เดือนที่จะสิ้นสุดมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เบื้องต้นนายกฯได้มีการสั่งการให้รายงานข้อมูลอัพเดตแพ็คเกจลดค่าครองชีพอีกครั้งภายในวันที่ 15 พ.ย.2568 ก่อนที่มาตรการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย.2569” นายพิพัฒน์ กล่าว
ขณะเดียวกันยังผลักดันนโยบายสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งสาธารณะ ด้วยการนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) เข้ามาทดแทนรถที่ใช้ระบบสันดาปเชื้อเพลิงน้ำมัน เพื่อเป้าหมายหลักในการลดปัญหามลภาวะ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมยกเลิกบริการรถเมล์ร้อนและหันไปใช้บริการรถโดยสารปรับอากาศ (แอร์) ทั้งหมดในอนาคต
“เมื่อมีการยกเลิกรถเมล์ร้อนทั้งหมดแล้วหันไปใช้บริการรถเมล์ปรับอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อค่าโดยสารแก่ผู้ใช้บริการกลุ่มเปราะบาง ปัจจุบันรถร้อนมีอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 8 บาทตลอดสาย
ในขณะที่ค่าโดยสารสำหรับรถปรับอากาศ อยู่ที่ 13-25 บาท ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่แตกต่างกันอย่างมาก คนใช้บริการจะรับไหวไหมกับค่าโดยสารที่สูงขึ้นมากนี้”
แผนการเปลี่ยนรถเมล์ไฟฟ้านั้น ตามแผนที่กำหนดไว้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) มีแผนเช่ารถเมล์ไฟฟ้า จำนวน 1,520 คัน โดยตั้งเป้าส่งมอบรถภายในวันที่ 30 กันยายน 2569 จากนั้นจะทยอยส่งมอบรถจนครบกำหนดภายใน 180 วัน
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าโดยจ้างเอกชนมาเดินรถ เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะมีการหารือกับกระทรวงการคลังว่าจะกระทบต่อฐานะทางการเงินหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันพบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะมีเพดาน 70%
ส่วนนโยบายที่สองเป็นเรื่องเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเชิงรุกและผลักดันโครงการสำคัญให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2569 จำนวน 10 โครงการ วงเงินรวม 275,761 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงชุมพร–สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท 2.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงสุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท 3.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการอยู่ระหว่างเตรียมเสนอต่อครม.เห็นชอบ
4.โครงการก่อสร้างทางด่วนกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต (ระยะที่ 1) วงเงิน 10,964 ล้านบาท โดยครม.มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งปัจจุบันการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลหาผู้รับจ้าง
5.โครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่ บ้านเมืองใหม่ – สามแยกเข้าสนามบินภูเก็ต วงเงิน 1,300 ล้านบาท โดยเป็นการก่อสร้างทางแยกต่างระดับและสะพานยกระดับข้ามทางเดิน มีขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ)
6.โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) วงเงิน 3,930 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้
7.โครงการทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สาย M81 ช่วงบางใหญ่-กาญจนบุรี วงเงิน 49,120 ล้านบาท ที่เร่งรัดเปิดให้บริการภายในเดือนตุลาคม 2568
และ 8.โครงการทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สาย M6 ช่วงบางปะอิน-โคราช วงเงิน 78,924 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี 2569
ส่วนโครงการที่ 9 และโครงการที่ 10 ประกอบด้วย โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน -บ้านแพ้ว (M82) ช่วงทางต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย วงเงิน 8,300 ล้านบาท และช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว วงเงิน 18,759 ล้านบาท ซึ่งเป็น 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างบนถนนพระราม 2
ทั้งนี้ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) เปิดใช้ถนนพระราม 2 โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดือนตุลาคม 2568
ส่วนระยะที่ 2 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร จะเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569
ปิดท้ายที่นโยบายสุดท้าย เป็นการวางรากฐานคมนาคมสำหรับอนาคตในระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต จำนวน 14 โครงการ วงเงินรวม 1.87 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) วงเงิน 9.97 แสนล้านบาท
2.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 28,679 ล้านบาท 3.โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม วงเงิน 66,848 ล้านบาท
4.โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 72,921 ล้านบาท 5.โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) กรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงิน 3.4 แสนล้านบาท
6.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 140,000 ล้านบาท 7.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 82,000 ล้านบาท
8.โครงการรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท 9.โครงการรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,473 ล้านบาท
10.โครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ของสนามบินสุวรรณภูมิ มี วงเงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท 11.โครงการพัฒนาสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 วงเงิน 36,000 ล้านบาท
12.โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ ระยะที่ 1 วงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง
13.โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ วงเงิน 1,854 ล้านบาท และ 14.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา วงเงิน 4,700 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 2.24 แสนล้านบาท โดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี) เป็นเอกชนผู้รับสัมปทาน ซึ่งมีสัญญาสัมปทาน 50 ปี นั้น
ทั้งนี้จากการหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคม ทราบว่าโครงการนี้ล่าช้ากว่า 6 ปี แล้ว เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะมีการเชิญเอกชนผู้รับสัมปทาน ,สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และรฟท.หารือร่วมกันว่าจะเดินหน้าต่อในทิศทางใด เบื้องต้นไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญา