KEY
POINTS
"ไม่เห็นด้วย ควรเดินตามสัญญาเดิมที่มีอยู่" คำพูดของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทำให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท กลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง หลังจากที่ร่างแก้ไขสัญญาผ่านการตรวจสอบจากอัยการสูงสุดไปแล้วกว่า 95%
การตัดสินใจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะไม่แก้ไขสัญญา โดยเฉพาะการปฏิเสธวิธีการ "สร้างไปจ่ายไป" ที่จะทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเร็วขึ้นตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้าง แทนที่จะรอจ่ายเมื่อโครงการเสร็จตามสัญญาเดิม ส่งสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลมีความกังวลต่อความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงิน ท่ามกลางโครงการที่ล่าช้าไปแล้วกว่า 6 ปี
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ หากไม่แก้สัญญา บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนผู้รับสัมปทาน จะมีความพร้อมทางการเงินเพียงพอที่จะดำเนินโครงการตามเงื่อนไขสัญญาเดิมได้หรือไม่?
จากการตรวจสอบของฐานเศรษฐกิจพบว่า บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 เดิมชื่อ บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด ทุนจดทะเบียน 4,000 ล้านบาท ต่อมาในวันที่ 13 พ.ค. 2564 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 4,000 ล้านบาท เป็น 7,780 ล้านบาท โดยมีเครือซีพีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง 87.15% ร่วมกับผู้ถือหุ้นอีก 3 บริษัท คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ 5.14 % บริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรั๊คชั่น คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด 5.14 % และ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 2.57 %
บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด มี กรรมการ 11 คน ประกอบด้วย 1. นายศุภชัย เจียรวนนท์ 2. นายณรงค์ เจียรวนนท์ 3.นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ 4. นายสฤษดิ์ จิณสิทธิ์ 5. นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ 6. นายอำรุง สรรพสิทธิ์วงศ์ 7. หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล 8. นายชาติวุฒิ ตันจันทร์พงศ์ 9. นายเปรมชัย กรรณสูต 10. นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล 11. นายหลี่ ฉงหยาง
เมื่อตรวจสอบผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ฐานเศรษฐกิจพบว่า ตั้งแต่ปี 2563-2567 บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องทุกปี รวมขาดทุนสะสมกว่า 2,344 ล้านบาท ยกเว้นปี 2562 เพียงปีเดียวที่มีผลการดำเนินงานมีกำไร
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 13,524 ล้านบาท หนี้สินรวม 8,082 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ประมาณ 59.7% สะท้อนถึงภาระทางการเงินที่สูง ท่ามกลางการที่โครงการยังไม่เริ่มก่อสร้างจริง
ตามสัญญาเดิม กำหนดให้บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ต้องการชำระค่าสิทธิโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) จำนวน 10,671.09 ล้านบาท เต็มจำนวนภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 แต่บริษัทไม่สามารถดำเนินการได้
ขณะเดียวกันยังกำหนดให้บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด จะต้องกู้เงินมาเพื่อลงทุนรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน รวมทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าก่อสร้างงานโยธา งานราง ระบบและค่าดอกเบี้ย 160,000 ล้านบาท และค่าลงทุนพัฒนาพื้นที่มักกะสัน 40,000 ล้านบาท โดยรัฐจะจ่ายเงินค่าร่วมทุนให้เมื่อก่อสร้างเสร็จและเปิดเดินรถแล้ว ด้วยการแบ่งจ่าย 10 ปี ปีละเท่าๆ กัน
ส่วนสัญญาใหม่ที่เจรจากับเอกชนจนได้ข้อยุติแล้ว รวม 5 ประเด็น ดังนี้ 1. วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมรัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถ โดยรัฐจะ “แบ่งจ่าย” เป็นเวลา 10 ปี ปีละเท่า ๆ กัน รวมเป็นเงิน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
แต่มีเงื่อนไขให้เอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 152,164 ล้านบาท เพื่อประกันว่างานก่อสร้างโครงการเปิดให้บริการได้ภายในระยะเวลา 5 ปีกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของ รฟท.ทันทีตามงวดการจ่ายเงินนั้น ๆ
2. การกำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) จะให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ออกเป็น 7 งวด เป็นรายปี ในจำนวนแบ่งชำระเท่า ๆ กัน แต่บริษัทจะต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญากับ รฟท.และบริษัทยังต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ที่ รฟท.จะต้องรับภาระด้วย
3. การกำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นผลทำให้เอเชีย เอรา วัน ได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกินกว่า 5.52% และให้สิทธิ รฟท.เรียกให้บริษัทชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ตามแต่จะตกลงกันต่อไป
4. การ “ยกเว้น” เงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกความตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ (การรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ) เพื่อให้ รฟท.สามารถออกหนังสือ NTP ให้กับเอเชีย เอรา วัน ได้ทันทีหลัง 2 ฝ่ายลงนามในการแก้ไขสัญญา
5. ป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการ โดยทำการปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของ “เหตุสุดวิสัย” กับ “เหตุผ่อนปรน” ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการอื่น
อย่างไรก็ดีในการแก้ไขสัญญาใหม่นั้นยังมีหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วยหนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีหนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาทและหนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท
โดยกำหนดว่าวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด
อย่างไรก็ตามความเห็นของอัยการสูงสุดเห็นว่าว่า "หากเอกชนจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไม่ครบถ้วนก็ไม่ควรจะได้สิทธิ์บริหารโครงการ" เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา หากยึดตามหลักการนี้อย่างเคร่งครัด เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิ ARL เต็มจำนวนก่อนจึงจะได้รับสิทธิ์บริหารโครงการ
แต่ด้วยสภาพทางการเงินของบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องและมีภาระหนี้สินสูง คำถามคือบริษัทจะสามารถหาเงินมาชำระค่าสิทธิ ARL เต็มจำนวนได้ภายในเวลาอันใกล้หรือไม่ หากไม่ได้ โครงการก็จะไม่สามารถเริ่มก่อสร้างได้
การตัดสินใจของรัฐบาลใหม่ที่จะไม่แก้ไขสัญญาได้วางภาระหนักของบริษัท เอเชีย เอราวัน ที่จะต้องพิสูจน์ความสามารถทางการเงินในการดำเนินโครงการตามเงื่อนไขเดิม โดยเฉพาะชำระค่าสิทธิ ARL หากบริษัทไม่สามารถหาทางออกในการระดมทุนเพื่อชำระค่าสิทธิ ARL เต็มจำนวนและเริ่มต้นโครงการตามสัญญาเดิม โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน อาจต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง