KEY
POINTS
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (1 ต.ค.2568) กรมฯได้มอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้รัฐบาลได้กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ โดยแบ่งแผนในการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ระยะที่ 1 การแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน โดยสิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการ คือ แพ็คเกจลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนทันที โดยการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568
ทั้งนี้ควบคู่กับการเข้มงวดในการตรวจสอบความปลอดภัยในทุกโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในทุกโครงการเพื่อสร้างความปลอดภัยอันสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมยกระดับคุณภาพการบริการระบบคมนาคมทั้งระบบทั้ง ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ
นอกจากนี้จากสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมาย การกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และ กรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง พร้อมเปิดเส้นทางและ กำจัดสิ่งกีดขวาง เพื่อการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน
ส่วนระยะที่ 2 การเร่งดำเนินโครงการโดยทันที เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเชิงรุกและผลักดันโครงการสำคัญ เพื่อการการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2569
ทั้งนี้ได้มอบหมายกรมทางหลวงในการเปิดใช้ถนนพระราม 2 โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดินตุลาคม 2568
และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569
ส่วนเส้นทางเอกชัย–บ้านแพ้วก่อนสงกรานต์ 2569 เปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และ สาย M6 (บางปะอิน–โคราช) ต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ
ขณะเดียวกันยังผลักดันรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร–สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่ และหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้–ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่–สนามบินภูเก็ต
อีกทั้งยังส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดีในระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต โดยมีโครงการสำคัญ เช่น
โครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ส่วนการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ อาทิ
ขอนแก่น–หนองคาย บ้านไผ่–มุกดาหาร–นครพนม และเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ รวมถึง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก
นอกจากนี้จะเพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง
รวมถึงการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด
นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงกฎหมายด้านคมนาคมให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและบริการรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น