KEY
POINTS
สิ่งที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้คือความเร่งรัดในการผลักดันโครงการเช่ารถเมล์ EV จำนวน 1,520 คัน วงเงิน 15,301 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ โดยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ
การที่คณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การประกวดราคา (TOR) อย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 และเผยแพร่ประชาพิจารณ์ร่างเอกสาร TOR ในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีกำหนดสิ้นสุดการรับฟังความเห็นในวันที่ 26 กันยายนนี้ ทำให้เกิดข้อสังเกตถึงการเร่งรัดที่ผิดปกติ
หากไม่มีผู้คัดค้านใดๆ ขสมก. คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานหลังจากผ่านพ้นช่วงสุญญากาศทางการเมือง การดำเนินการที่รวดเร็วนี้สวนทางกับกระบวนการที่ล่าช้ามานานในโครงการรถเมล์ NGV ก่อนหน้านี้
ประเด็นที่สร้างความกังขามากที่สุดในโครงการนี้คือการปรับลดสเปครถเมล์ที่ปรากฏในเอกสาร TOR โดยมีการระบุความยาวรถไม่ต่ำกว่า 10.5 เมตร และมีจำนวนที่นั่ง 31 ที่นั่ง ซึ่งแตกต่างจากแผนเดิมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ที่กำหนดความยาวรถไว้ที่ 12 เมตร และมีจำนวนที่นั่ง 34 ที่นั่ง
จากข้อมูลผลกระทบต่อการให้บริการและรายได้ ระบุว่า การลดความยาวและจำนวนที่นั่งจะส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารลดลง 12 คนต่อเที่ยว และอาจทำให้รายได้รวมหายไปถึง 1,094,400 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการให้บริการและสถานะทางการเงินของ ขสมก.
คำชี้แจงที่สวนทางกับข้อเท็จจริง โดย ขสมก. ยืนยันว่าถึงแม้ขนาดรถจะสั้นลง แต่ความจุผู้โดยสารจะไม่ลดลง โดยอ้างว่าพื้นที่ภายในรถจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากรถเมล์ EV ไม่มีห้องเครื่องด้านหน้าเหมือนรถดีเซล และหลักเกณฑ์กำหนดจำนวนที่นั่งไม่ต่ำกว่า 35 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามคำชี้แจงนี้ขัดแย้งกับรายละเอียดในเอกสาร TOR ที่ระบุจำนวนที่นั่ง 31 ที่นั่งอย่างชัดเจน
ขณะที่การเปลี่ยนสเปคในครั้งนี้ ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางรายที่มีรถเมล์ขนาดความยาว 10.5 เมตรในตลาดอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการรายดังกล่าวมีสิทธิเข้าร่วมและมีโอกาสชนะการประมูลได้ไม่ยาก แม้ว่า ขสมก. จะให้เหตุผลว่าการเช่ารถเมล์ EV จะช่วยลดปัญหาเรื่องค่าซ่อมบำรุงและลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้อย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ล้มเหลวของรถเมล์ NGV
โดยในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา ขสมก.ได้มีการเปิดประมูลโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสาร จำนวน 489 คัน มีราคากลางรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,020,158,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีการประมูลในครั้งนั้นมีกลุ่มร่วมกิจการร่วมค้า SCN-CHO’ (Consortium SCN-CHO) ประกอบด้วย บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเสนอราคาในครั้งนี้ด้วยจนเป็นผู้ชนะการประมูลและได้ส่งมอบรถให้กับขสมก.ได้ตามแผน
ต่อมาในปี 2567 พบว่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 489 คัน หยุดวิ่งลง เพราะติดปัญหาเรื่องของสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถเมล์ NGV 489 คัน จึงส่งผลกระทบต่อการให้บริการ ซึ่งขสมก. ได้แจ้งขอยกเลิกสัญญาและนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 เพื่อพิจารณารับทราบการบอกเลิกสัญญาเหมาซ่อมกับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO
จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้ขสมก.มีการพิจารณาโครงการจัดหารถเมล์ EV มาวิ่งแทน ซึ่งแผนจัดหารถเมล์เฟสแรกได้บรรจุอยู่ในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แล้ว โดยเป็นการเช่าจำนวนทั้งหมด 1,520 คัน ระยะเวลาเช่า 7 ปี วงเงิน 15,301 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางที่มติครม.อนุมัติ
แต่การเร่งรัดกระบวนการในห้วงเวลาสำคัญทางการเมือง ประกอบกับการเปลี่ยนสเปคที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่ระบุในเอกสาร TOR และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการให้บริการและรายได้ในระยะยาว ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
หลังจากสิ้นสุดการรับฟังความคิดเห็นร่างเอกสาร TOR ในวันที่ 26 กันยายนนี้ การตัดสินใจของคณะกรรมการ ขสมก. ที่จะเดินหน้าโครงการต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือจะรับฟังข้อเสนอแนะและกลับมาทบทวน จะเป็นตัวชี้วัดถึงความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการโครงการมูลค่ามหาศาลนี้
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้โดยตรงและเป็นสิ่งที่ ขสมก. ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,135 วันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568