KEY
POINTS
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พบปัญหาเกี่ยวกับตัวเลขการส่งออกของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิตกลับไม่เพิ่มขึ้นตามที่ควรจะเป็น แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ ในระบบการผลิตของไทย ซึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไข
สำหรับสาเหตุสำคัญ สศช. มองว่า มีปัจจัยหลักมาจาก 5 ข้อ ดังนี้
1.ลักษณะการส่งออกของไทยที่เป็นเพียงทางผ่าน เพราะในภาวะปกติหากมีการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตต่อ MPI ควรจะพุ่งสูงขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก หรืออย่างน้อย 3-5%
แต่ในความเป็นจริงดัชนี MPI กลับไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าสินค้าที่ส่งออกไปนั้น เหมือนมาผ่านทางอย่างเดียว โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตหรือสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอย่างเต็มที่
2.ปัญหาการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (Import Flooding) ปัจจุบันยังคงมีสภาวะที่เรียกว่า Import Flooding หรือสินค้าจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทยระดับหนึ่ง ซึ่งความผิดปกตินี้เห็นได้จากตัวเลขการนำเข้าที่สูงใกล้เคียงกับการส่งออก เช่น ส่งออกในบางเดือนโต 12.6% แต่นำเข้าก็สูงถึง 12.4% สะท้อนว่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปอาจเป็นการนำเข้ามาแล้วส่งออกต่อ มากกว่าจะเป็นผลผลิตจากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานในไทย
ขณะที่การส่งออกเดือนล่าสุดในเดือน พ.ย. มีมูลค่า 27,445.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 30,172.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.6% ประเทศไทยขาดดุลการค้า 2,726.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมการส่งออก 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 310,706.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12.6% ขณะที่การนำเข้าของไทย 11 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ารวม 315,662 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.4%
3. ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมเดิม โดยในขณะนี้ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมไทยอยู่ในช่วงที่ยังเผชิญกับการปรับโครงสร้าง เนื่องจากเราอยู่กับการผลิตรูปแบบเดิมมานาน แต่เทคโนโลยีของโลกก้าวหน้าไปมากแล้ว
ขณะที่ต้นทุนค่าแรงของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแบบเดิมลดลง สินค้าไทยบางส่วนจึงถูกประเทศรอบบ้านผลิตเลียนแบบและทำได้เหมือนกับเราแล้ว ซึ่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้สินค้าไทยสอดคล้องกับความต้องการโลก
4.ความไม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตใหม่ ปัจจุบันกำลังการผลิตที่ยังไม่พุ่งสูงถึงระดับ 70-80% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไทยยังดึง Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาได้ไม่ครบวงจร ทำให้การผลิตภายในประเทศยังไม่เข้มแข็งพอที่จะรองรับการเติบโตของการค้าโลกยุคใหม่ได้
5.ผลกระทบในอุตสาหกรรมหลักอย่างเช่น ยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นเสาหลักไม่ได้มีการผลิตอย่างที่คาดไว้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนภายในประเทศ ที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
ขณะที่การผลิตเพื่อส่งออกก็มีความท้าทาย ส่งผลให้ภาพรวมของกำลังการผลิตในประเทศยังไม่ฟื้นตัว แม้ตัวเลขการส่งออกในภาพรวมจะดูดีก็ตาม