KEY
POINTS
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 3 ปี 2568 พบว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพียง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาว่า ตัวเลข GDP ที่ สภาพัฒน์ฯ แถลงออกมาครั้งนี้ ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการประเมินของหลายฝ่าย โดยมีรายละเอียดที่น่าสงสัยหลายประการ
ทั้งนี้ตัวเลขหนึ่งที่ยังมีข้อสงสัยอย่างมากนั่นคือ ตัวเลขของสินค้าคงคลัง (inventory) มีการลดลงไปเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านบาทจากไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ประมาณ -1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนในส่วนนี้ โดยเร็ว ๆ นี้ คาดว่า จะนัดหารือร่วมกับสศช. เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลขดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร
“ตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่สามที่ สศช.แถลงมาถือว่าต่ำกว่าที่กระทรวงการคลัง ภาคเอกชน หรือแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขควรจะสูงกว่านี้ เพราะเมื่อดูในรายละเอียดแล้วในส่วนของสินค้าคงคลังนั้นลดลงไปจากปีก่อนมากกว่าแสนล้านบาท ซึ่งตรงนี้ควรติดตามข้อมูลที่ชัดเจนว่าสินค้าคงคลังที่ลดลงมาจากส่วนใด และต้องฟังความเห็นจากสศช.ด้วย” แหล่งข่าว ระบุ
แหล่งข่าว ยอมรับว่า ข้อมูลที่มีความผิดปกตินี้ อาจทำให้เกิดคำถามจากหลายภาคส่วน เนื่องจากมีข้อมูลการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 19% แสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งซื้อ หรือออเดอร์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามหลักการแล้ว หากทราบว่ามีออเดอร์ ผู้ผลิตควรจะผลิตเพิ่มและเก็บสต็อกไว้เพื่อการขาย และสต็อกสินค้าคงคลังควรจะเพิ่มขึ้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ตามตัวเลขของ สศช. กลับพบว่า สินค้าคงคลังกลับลดลงอย่างมาก จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่มีคำสั่งซื้อสูงในช่วงที่ผ่านมา และหากปรับตัวเลขสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็นตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาอาจจะไม่ติดลบหนักขนาดนี้
“ต้องขอให้ สศช.ช่วยชี้แจงคือจำนวนสินค้าคงคลังที่ลดลง มาจากสินค้าประเภทใดบ้าง เนื่องจากเอกสารที่มีการเผยแพร่มานั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าเป็นการลดลงของทองคำเท่าไหร่ ยางเท่าไหร่ ข้าวเท่าไหร่ หรือสินค้าอุตสาหกรรมเท่าไหร่ เพราะรายละเอียดนี้มีความสำคัญ เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ว่าการลดลงดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใดที่ชัดเจน เพื่อออกแบบนโยบายในการแก้ปัญหาได้ต่อไป”
ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ มองว่า หากจะผลักดัน GDP ให้ขยายตัวตามเป้าหมายของสศช.ที่ 2% ไตรมาสสุดท้าย จะต้องทำให้ได้ที่ประมาณ 0.8% เบื้องต้นมองว่า ไตรมาสสุดท้าย GDP ไม่น่าจะต่ำกว่า 1% และไม่น่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession)
ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายมาตรการมาประคับประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี ทั้ง โครงการคนละครึ่งพลัส เฟสแรก มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อื่น ๆ ซึ่งจะมีผลต่อเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ด้วย