เศรษฐกิจไทย 2569 เผาจริง! จับตา 4 สัญญาณความเสี่ยงกระทบหนัก

22 พ.ย. 2568 | 00:01 น.

สภาพัฒน์ฯ ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2569 เข้าสู่ภาวะ เผาจริง! หลังพบแนวโน้มชะลอตัวลง คาด GDP โตแค่ 1.7% จับตา 4 สัญญาณความเสี่ยงกระทบหนัก

KEY

POINTS

  • สศช. ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2569 มีแนวโน้มชะลอตัว โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก
  • ระดับหนี้สินภาคเอกชนโดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ เป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศ
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค และอาจทำให้กระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2570 ล่าช้า

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุด โดยเฉพาะการประเมิน แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2569 พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามแนวโน้มการลดลงของการส่งออกสินค้าภายหลังจากการเร่งขึ้นในเกณฑ์สูงในปีก่อน

สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกท่ามกลางการดำเนินมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชน 

ขณะเดียวกัน ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูงท่ามกลางการเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินยังเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ 

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจในปี 2569 มีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวที่สำคัญจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐบาล การฟื้นตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร

ทั้งนี้ในภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 สศช. ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2 - 2.2% หรือมีค่ากลาง 1.7% เทียบกับ 2% ในปี 2568 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.0 - 1.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.4% ของ GDP 

ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจ ปี 2569

สศช.ประเมินข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ดังนี้

1.การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) 

สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีต่อประเทศไทย ในอัตรา 19% ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่องทางที่สำคัญ ได้แก่ 

(1) ผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย โดยคาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับตัวลดลงในปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ซึ่งมีสัดส่วน 5.46% 2.73% 2.62% และ 1.5% ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ ตามลำดับ 

โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ภายหลังจากขยายตัวในเกณฑ์สูง (Front-load) ในช่วงสามไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาค

(2) ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบของไทยลดลงต่อเนื่อง อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น

(3) ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงของการส่งออกจากการถ่ายลำ (Transshipment) หรือปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออกเพื่อเป็นทางผ่านให้ประเทศที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะถือเป็นสินค้ากลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 40% โดยกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิแผงพลังงานแสงอาทิตย์ แผงวงจรพิมพ์และล้อรถและชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง

(4) ผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้า อันเนื่องมาจากการเจรจาการค้าโดยการลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ของไทยโดยเฉพาะสินค้าภาคการเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ในหลายกลุ่มสินค้า อาทิเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและชิ้นส่วน และยานยนต์ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค

2.แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

โดยมีเงื่อนไขความเสี่ยงที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย

(1) ความยืดเยื้อและความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศและการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกในภาพรวม และมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลกหากยกระดับความรุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไป 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากสินค้ารายสินค้าแบบเฉพาะเจาะจงและมาตรการควบคุมการค้าระหว่างประเทศในสินค้าทุนและวัตถุดิบสำคัญ อาทิ แร่ธาตุหายากสำคัญ เหล็กและอลูมิเนียม และยานยนต์และชิ้นส่วน 

(2) ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ 

(3) ความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนและการส่งออกของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในระยะต่อไป 

(4) ความเสี่ยงทางด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านเงินเฟ้อผ่านการเพิ่มขึ้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน 

(5) ความผันผวนของตลาดทุนอันเนื่องมาจากแนวโน้มการปรับฐานราคา (Re-pricing) ของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยีที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ทำสถิติมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องจากการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาจส่งผลต่อการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคและระดับความมั่งคั่งของครัวเรือน และกลายเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

3.ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูง

จะเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่สองของปี 2568 อยู่ที่ 86.8% แม้ว่าจะลดลงจาก 89.7% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่า 82.6% ในไตรมาสที่สองของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ขณะเดียวกันคุณภาพสินเชื่อยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลซึ่งสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) และสัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษ (Special Mention Loans: SMLs) ต่อสินเชื่อรวม 

ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนเปราะบางที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งจำกัดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนและสภาพคล่องของลูกหนี้รายย่อยและเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวลง

4.บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง

อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนสะท้อนจากข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของไทย (Business Sentiment Index : BSI) ที่มีแนวโน้มผันผวนสูงในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อันจะส่งผลต่อกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจ าปี 2570 ให้มีความล่าช้าออกไป