KEY
POINTS
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ 'ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย' ลง 0.25% จาก 1.50% มาอยู่ที่ 1.25% ในการประชุม กนง.ครั้งสุดท้ายของปีเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา มองว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มแบงก์
ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตามนโยบาย เป็นผลให้รายได้ส่วนต่างดอกเบี้ยหุ้นกลุ่มแบงก์ปรัยตัวลดลงตาม ในขณะเดียวกันด้วยความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา ก็ยังเป็น Sentiment เชิงลบต่อรายได้ส่วนต่างดอกเบี้ยด้วยเช่นเดียวกัน
เชื่อว่าที่ผ่านมากลุ่มแบงก์เองก็มีการปรับตัวไปค่อนข้างมาก ด้วยออกผลิตภัณ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุมมากขึ้น และเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ทำให้คาดว่าบางส่วนอาจได้รับการชดเชยจากรายได้ส่วนอื่นๆ
ขณะที่กลุ่มไฟแนนส์ ภาพใหญ่มองว่าในปัจจุบันราคายังไม่แพง คุณภาพสินทรัพย์ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 4/2568 อาจมีการสะดุดลงบ้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ภาคใต้ ทำให้ความเสี่ยงในแง่ของกำไรถูกเปิดมากขึ้น
ทั้งนี้ ทางฝ่ายมองว่าด้วยภาพใหญ่เศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความไม่แน่นอน จากตัวเลขคาดการณ์ GDP ของแบงก์ชาติที่ลดง ส่งผลให้ในปี 2569 มีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมลงอีก 1 ครั้ง มาอยู่ที่ระดับ 1% ในช่วงเดือนเม.ย. 2568
ในแง่ของการลงทุนนั้น มองว่าระหว่างหุ้นกลุ่มแบงก์และไฟแนนส์ สถาบันค่อนข้างที่จะชอบแบงก์มากกว่า เนื่องจากให้ Yield เฉลี่ยที่ระดับไม่น้อยกว่า 5% เป็นขั้นต่ำ ดังนั้นจึงทำให้เห็นว่าที่ผ่านมาสถาบันถึงไม่ได้ใส่น้ำหนักในหุ้นไฟแนนส์มากนัก
สำหรับคำแนะนำการลงทุน มองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากให้ปันผลเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยแนะนำ TTB เพราะมีโครงการซื้อหุ้นคืน และแรงเก็งกำไรยังไม่มากในปัจจุบัน และ KTB (แนะย่อสะสม) เพราะจะได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่า KTB จะเป็นหัวหอกสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ขณะที่หุ้นไฟแนนส์ แนะนำ SAWAD เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับที่ถูกสุดเมื่อเทียบกับหุ้นไฟแนนส์ตัวอื่นๆ อีกทั้งจะมีเม็ดเงินทุนจากกองทุนแพสซีฟ SET50 เข้ามา ทำให้มีสตอรี่หนุน