คณะกรรมการนโยายการเงิน(กนง.) ครั้งสุดท้ายของปี 2568 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%ต่อปี จากระดับ 1.50% เป็น 1.25% ด้วยเหตุผลหลักๆคือ เศรษฐกิจชะลอตัว จากคาดการณ์อัตราการขายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ปี 2569 จะขยายตัวต่ำลงเหลือ 1.5% จากประมาณการเดิมที่ 1.6%
ทั้งนี้เป็นผลจากการบริโภคที่ลดลงและผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำตามราคาพลังงานและอาหารสด โดยคาดการณ์ปี 2569 จะอยู่ที่ 0.3% และเพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้กับ SMEs และครัวเรือนรายได้น้อย รวมถึงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ จึงถือเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่า รัฐกำลังใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อประคองชีพจรเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแรงลง
ผลจากการขานรับของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลงนั้น เปรียบเสมือน “ยาบรรเทาปวด” ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทันทีให้กับครัวเรือนที่มีหนี้ผูกพันกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง เพิ่มโอกาสในการประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงมรสุมเศรษฐกิจไปได้
อย่างไรก็ตาม “การลดดอกเบี้ย” เป็นเพียงการลดภาระหนี้เดิม แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการสร้าง “สินเชื่อใหม่” ในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพและมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์มักตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ความกลัวความเสี่ยง” (Risk Aversion) ทำให้แม้ดอกเบี้ยจะต่ำ แต่ธนาคารยังคงระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยกู้ เพราะกังวลเรื่องคุณภาพสินเชื่อและหนี้เสีย (NPL) ที่อาจพุ่งสูงขึ้น
การจะทำให้ธนาคารพาณิชย์กล้าปล่อยกู้ท่ามกลางความเปราะบางนี้ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยกลไก “การแบ่งเบาความเสี่ยง” (Risk Sharing) และ “การเติมข้อมูล” (Information Symmetry)
หัวใจสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกล้าอนุมัติสินเชื่อคือ การมี “คนช่วยจ่ายหากพัง” รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ ด้วยการสนับสนุนบทบาทของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)หรือกลไกค้ำประกันใหม่ๆ ที่สามารถชดเชยความเสียหายให้ธนาคารได้ในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อให้ธนาคารมองข้ามความเสี่ยงเฉพาะหน้าและหันไปมองศักยภาพในระยะยาวของธุรกิจแทน
ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มช่องทางการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ในการวิเคราะห์เครดิต เพราะ SMEs และกลุ่มเปราะบางจำนวนมากไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน แต่มีพฤติกรรมการค้าขายที่ดี
หากธนาคารพาณิชย์ปรับเปลี่ยนจากการพิจารณาเพียง “กำไร-ขาดทุน” ไปสู่การใช้ข้อมูลดิจิทัล เช่น รายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ ค่าน้ำค่าไฟ หรือประวัติการชำระบิลต่างๆ จะช่วยให้ธนาคารเห็นตัวตนและศักยภาพที่แท้จริงของลูกหนี้ ทำให้การตัดสินใจปล่อยกู้แม่นยำและกล้าหาญมากขึ้น
นอกจากนั้น ต้องมีมาตรการ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ” (Soft Loan) ที่มีเงื่อนไขจูงใจ เสริม เพราะการที่รัฐอุดหนุนส่วนต่างดอกเบี้ยผ่านสินเชื่อ Soft Loan โดยกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าต้องเป็นกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน จะช่วยลดแรงกดดันต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ และเป็นแรงจูงใจให้ธนาคารยอมปล่อยกู้ให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติ
ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารจะปล่อยกู้ก็ต่อเมื่อเห็นว่าลูกหนี้มี “รายได้” มาคืน การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงการต่อลมหายใจ แต่ความต้องการใช้เงินกู้ที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นต่อเมื่อภาคธุรกิจมีการปรับตัว (Reinvent) เช่น การยกระดับเทคโนโลยีการผลิต หรือการปรับหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสู้กับสินค้าจากต่างประเทศ หากภาคธุรกิจแข็งแรงขึ้น ธนาคารย่อมลดความระมัดระวังลงตามกลไกตลาด
การลดดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดีในการลดภาระประชาชน แต่การจะขับเคลื่อนให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนผ่านการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์นั้น จำเป็นต้องมีการผสมผสานนโยบายการเงินเข้ากับมาตรการค้ำประกันสินเชื่อและการใช้เทคโนโลยีทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ธนาคารพาณิชย์กลับมาทำหน้าที่เป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ของเศรษฐกิจไทยได้อย่างเต็มกำลังอีกครั้ง
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,160 วันที่ 25 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568