หุ้นไทยแกว่งออกข้างรอปัจจัยใหม่ ชูหุ้นไฟแนนซ์เด่น รับกนง.ลดดอกเบี้ย

22 ธ.ค. 2568 | 23:30 น.

โบรกส่องดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหว Sideway กรอบ 1,230-1,280 จุด จากปัจจัยลบตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด เพิ่มโอกาส FED ลดดอกเบี้ยปีหน้า ด้านเม็ดเงินฟันด์โฟลว์เริ่มเบาบางช่วงเทศกาลคริสต์มาส จึงแนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ รับอานิสงส์กนง. ลดดอกเบี้ยลง 0.25%

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่และปริมาณการซื้อขายเบาบางช่วงวันหยุด
  • ดัชนีได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ย แต่ถูกกดดันจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว
  • แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มสินเชื่อรายย่อย (ไฟแนนซ์) เช่น MTC, SAWAD, TIDLOR และ BAM ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็กจำกัด หรือ GBS ประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้ (23-26 ธ.ค. 68) ว่า ดัชนี SET Index มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ออกข้าง

ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกในต่างประเทศ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สร้างความหวังให้กับนักลงทุนว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีหน้า

โดย FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 58% ในการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.69 จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 32.9% เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติจะเบาบาง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งอาจทำให้แรงซื้อขายโดยรวมไม่คึกคักเท่าช่วงปกติ จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนี SET อยู่ในกรอบ 1,230 - 1,280 จุด  

โดยปัจจัยลบกดดันตลาดการเงินโลกและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้เวเนซุเอลาคืนสินทรัพย์ที่ถูกยึดจากบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ พร้อมสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตร และประกาศให้รัฐบาลเวเนซุเอลาเป็น 'องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ'

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ขู่ใช้กำลังทางทหารเข้ายึดครองดินแดนยูเครนเพิ่มเติม หากไม่มีการหารือร่วมกับสหรัฐฯ และผู้นำยุโรปรวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน โดยสมาคม MBA รายงานจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อลดลง 3.8% หลังอัตราดอกเบี้ยจำนองปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับไทย กนง. ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2569 เหลือ 1.5% จากเดิม 1.6% สะท้อนการชะลอตัวของการบริโภคและการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ ขณะที่ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป  

ปัจจัยในประเทศที่ต้องเผ้าระวัง

  • สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
  • สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
  • วันที่ 30 ธ.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม

  • วันที่ 22 ธ.ค. สหรัฐฯ รายงานดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนก.ย., สหรัฐฯ รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค. GDP ไตรมาส 3/68 (ประมาณการครั้งที่ 2) ดัชนี PCE 3Q68 (ประมาณการครั้งที่ 2) การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.
  • วันที่ 24 ธ.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุม, สหรัฐฯรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับคำแนะนำการลงทุนในสัปดาห์นี้ ทางฝ่ายแนะกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและบริหารหนี้ ได้แก่ MTC, SAWAD, TIDLOR และ BAM เป็นต้น

เนื่องจากมีแนวโน้มได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.50% เหลือ 1.25% ต่อปีเนื่องจากช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีต้นทุนทางการเงินลดลงส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิ