สศช. ปักธงแก้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทุบเศรฐกิจพัง 1.6 ล้านล้าน บรรจุแผนฯ 14

23 ธ.ค. 2568 | 10:47 น.

สศช. เตรียมผลักดันแนวทางการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) บรรจุในแผนพัฒนาฯ ฉบับ 14 หลังพบ คนไทยเสียชีวิต ปีละกว่า 400,000 ราย คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี

KEY

POINTS

  • สศช. เผยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้ไทยสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือเกือบ 10% ของ GDP
  • โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนไทยปีละกว่า 400,000 ราย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลิตภาพแรงงานของประเทศ
  • สศช. เตรียมบรรจุแนวทางแก้ไขปัญหา NCDs ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 โดยเชื่อมโยงสุขภาพกับผลิตภาพแรงงาน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สศช.ได้หารือกับนายแดนนี แอนนัน เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ถึงแนวทางการจัดการ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งปัจจุบันสร้างมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้ไทยสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือเกือบ 10% ของ GDP 

สำหรับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โรค NCDs (Non Communicable Diseases) เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประเทศอย่างมาก เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนไทย และก่อให้เกิดภาระโรคจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิต จากโรค NCDs 4 โรคหลัก ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ปีละกว่า 400,000 ราย หรือวันละกว่า 1,000 ราย คิดเป็น 81 % ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด

นายดนุชา กล่าวว่า การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อนำไปกำหนดนโยบายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 โดยพิจารณากรอบความร่วมมือระหว่างไทย-เดนมาร์ก ใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่

1. การกำหนดทิศทางในแผนฯ 14 ที่เน้น “Productivity” โดยต่อยอดประเด็นพัฒนาจากแผนฯ 13 และให้ความสำคัญกับการสร้างการยอมรับ (Buy-in) จากทุกภาคส่วน เพื่อการขับเคลื่อนแผนฯ 14 อย่างเป็นรูปธรรม

2. การผลักดันประเด็น NCDs ในแผนฯ 14 โดยเปลี่ยนมุมมองสุขภาพให้เชื่อมโยงกับผลิตภาพแรงงาน เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเจ็บป่วยด้วย NCDs โดยเฉพาะการส่งเสริมการมีพฤติกรรมสุขภาพดี เช่น การออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ 

รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การมีมาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อเพิ่มอุปสรรคในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีผลิตภาพมากขึ้นภายใต้การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด

3. การพลิกโฉมภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเกษตรกรสูงวัยและขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรด้วยเครื่องจักรหรือเทคโนโลนยีดิจิทัล และเพิ่มมูลค่าแก่ผลผลิตทางการเกษตร เช่น การแปรรูป การใช้จุดเด่นของสินค้า GI

4. การขยายโอกาสทางการค้าในเวทีโลก เพื่อขยายตลาดให้กับสินค้าส่งออกของไทยและกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Thai-EU FTA ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลได้ภายปี 2026-2027 และเร่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ OECD ของไทย