‘รายได้ต่อหัวคนไทย’ 2568 รัฐบาลอนุทิน หยังยุบสภา ยังไกลเป้าหมาย

12 ธ.ค. 2568 | 04:01 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2568 | 04:02 น.

เปิด ‘รายได้ต่อหัวคนไทย’ 2568 รัฐบาลอนุทิน ภายหลังยุบสภา เพิ่มเล็กน้อย ท้าทายเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน ปี 2570 เสี่ยงสูงไม่ถึงเป้าหมาย ติดตามตัวเลขล่าสุดที่สภาพัฒน์ ประเมินออกมา และข้อเสนแนวทางการบริหารด้านนโยบาย

KEY

POINTS

  • สภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์รายได้ต่อหัวคนไทยปี 2568 เหลือ 267,783 บาทต่อปี ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 300,000 บาทในปี 2570
  • สาเหตุหลักมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2% และปี 2569 ขยายตัวที่ 1.7%
  • ปัจจัยทางการเมืองอย่างการยุบสภาของรัฐบาลอนุทินจะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อการเพิ่มรายได้ของประชาชน

การผลักดัน 'รายได้ต่อหัวคนไทย' ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก หลังประเทศไทยต้องเจอพิษการเมืองจนทำให้เปลี่ยนรัฐบาลต่อเนื่องจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จนมาถึงรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล มิหนำซ้ำยังต้องผจญกับภัยพิบัติใหญ่หลายพื้นที่ กระทบต่อวิถีชีวิต และการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จนอาจผลักดันรายได้ต่อหัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ล่าสุดรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศ ยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นที่เรียบร้อยในปีหน้า 2569 ซึ่งแน่นอนว่า การขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล จะไม่สามารถทำได้ตามปกติ เพราะหากจะทำโครงการอะไรที่ใช้งบประมาณและมีผลต่อรัฐบาลหน้า ก็ต้องขอความเห็นจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน และเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างหยุดชะงักลงก็อาจมีผลกระทบส่งไปถึง รายได้ต่อหัวคนไทย ไม่มากก็น้อย

ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประกาศเป้าหมาย รายได้ประชาชาติต่อหัว หรือรายได้ต่อหัวคนไทย เอาไว้ภายใต้ 'แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ' ฉบับที่ 13 ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2566-2570 โดยกำหนดว่า ตัวชี้วัดจะบรรลุค่าเป้าหมาย ก็ต่อเมื่อรายได้ประชาชาติต่อหัวในปี 2570 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 300,000 บาทต่อปี

ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ออกมาเป็นทางการแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ต่อหัวคนไทย โดยพบว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ขยายตัวได้เพียงขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% ในช่วงไตรมาสที่สอง รวม 9 เดือนของปี 2568 เศรษฐกิจไทย ขยายตัว 2.4%

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 สศช. คาดว่าจะขยายตัว 2% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 ขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในปี 2569 สศช.ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2 – 2.2% โดยมีค่ากลางการประมาณการ 1.7% เท่านั้น

รายได้ต่อหัวคนไทย ปี 2568

ตัวเลขที่สภาพัฒน์ ประกาศออกมาในช่วงการแถลงล่าสุด วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ได้มีการปรับปรุงใหม่รายได้ต่อหัวคนไทย ปี 2568 ใหม่อีกครั้ง โดยสศช. สศช.ประเมินว่า ในปี 2568 คนไทยจะมีรายได้ต่อหัว อยู่ที่ 8,139 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปี หรือคิดเป็น 267,783 บาทต่อคนต่อปี

ตัวเลขดังกล่าว ถือเป็นการปรับตัวเลขลดลงจากการประเมินครั้งก่อนเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ซึ่งคาดว่า รายได้ต่อหัวคนไทย ในปี 2568 จะอยู่ที่ 8,146 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปี หรือคิดเป็น 268,839 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งทำให้ไกลจากเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ ในปี 2570 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 300,000 บาทต่อปี มากพอสมควร

รายได้ต่อหัวคนไทย ปี 2569

ส่วนในปี 2569 สศช.มองว่า เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงจากปี 2568 คาดว่า GDP จะอยู่ที่ 1.7% เท่านั้น พร้อมทั้งประเมินแนวโน้ม รายได้ต่อหัวคนไทย ในปี 2569 จะอยู่ที่ 8,421 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี หรือคิดเป็น 273,693 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2568 เล็กน้อย

ข้อเสนอบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค

อย่างไรก็ตาม สศช. เสนอว่าในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ให้มีอัตราการเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่า75% ของกรอบงบลงทุนรวม รวมทั้งเร่งดำเนินการ ตามมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้ว และควรเตรียมความพร้อมในการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 เพื่อไม่ให้มีความล่าช้าควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง

2. การเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว การแก้ปัญหาอาชญากรรมและเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัญหา PM2.5 อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม การทำการตลาดที่สอดคล้องกับภาวะการแข่งขันในตลาด การเร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบินเพื่อเพิ่มจำนวน/ความถี่เที่ยวบิน และเปิดเส้นทางบินใหม่ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง

3. การดูแลภาคการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรจะออกสู่ตลาดในฤดูการผลิต ปี 2569 และการเร่งรัดโครงการสำคัญ ๆ ภายใต้แผนหลักการบริหารจัดการน้ำให้สามารถป้องกันเพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติและเอื้ออำนวยต่อการผลิตภาคเกษตรมากขึ้น

4. การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญการลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ การส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญ ๆ ของประเทศคู่ค้า และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ

5. การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567 - 2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และการใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุนที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

6. การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ทั้งการสนับสนุนการให้สินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินและลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า และการเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในระยะต่อไป

7. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง