KEY
POINTS
รายงานล่าสุดจากธนาคารโลก (World Bank) ภายใต้ชื่อ “Thailand Digital Data Infrastructure Roadmap (DDIR) Report” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยถึงความล่าช้าและความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ
รายงานนี้ไม่ได้เพียงชี้ถึงจุดอ่อน แต่ยังเปิดพิมพ์เขียวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง นำไปสู่การขับเคลื่อนนวัตกรรมและยกระดับบริการภาครัฐ
รายงาน DDIR ได้เจาะลึกถึงปัญหาคอขวดทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย ธรรมาภิบาล และทักษะ ดังนี้:
1. ไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ: ช่องว่างด้านความครอบคลุมและทักษะ
ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายพื้นฐานด้านการเข้าถึงดิจิทัล แม้ว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยรวมจะสูง แต่ความครอบคลุมของการเข้าถึงบรอดแบนด์ (Broadband) ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 18% ของครัวเรือนเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงการเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียมและจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ ในมิติของทักษะดิจิทัลขั้นสูง ไทยยังตามหลังประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI หรือ GenAI) ที่มีเพียง 6% ของประชากรเท่านั้นที่มีทักษะในด้านนี้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัวของแรงงานในยุคเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วย AI
ปัญหาด้านกฎหมายข้อมูลถูกระบุว่ามีความซับซ้อนและเป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ รายงานชี้ว่า กฎหมายข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกันหลายฉบับ ทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน
จุดที่น่ากังวลที่สุดคือการตีความพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA - Personal Data Protection Act) ที่ธนาคารโลกมองว่า "เข้มงวดเกินไป" (Overly Strict Interpretation) การตีความเช่นนี้ทำให้เกิดความสับสนในการดำเนินงานทั้งในภาครัฐและเอกชน และจำกัดการแบ่งปันข้อมูล (Efficient Data Sharing) ที่จำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรม นอกจากนี้ ปัญหาการโอนข้อมูลข้ามพรมแดน (Cross-Border Data Flow) ยังเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศ
3. รัฐบาลดิจิทัล: ระบบแยกส่วนและการกำกับดูแลที่ขาดเอกภาพ
ระบบงานของหน่วยงานภาครัฐยังคงมีลักษณะ "แยกส่วน" (Fragmented) อย่างรุนแรง นำไปสู่ปัญหา 'Data Silos' ที่ข้อมูลถูกกักเก็บและไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การให้บริการประชาชนขาดความต่อเนื่องและซ้ำซ้อนกัน
ธนาคารโลกจึงเสนอให้มีการจัดตั้ง National Data Governance Authority (NDGA) ซึ่งควรมีบทบาทในการกำกับดูแลข้อมูลของภาครัฐแบบบูรณาการอย่างชัดเจน เพื่อขจัดความซ้ำซ้อนของบทบาทในปัจจุบัน และสร้างธรรมาภิบาลข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภาครัฐ
ไทยมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางข้อมูล (Data Hub) ของภูมิภาค แต่กลับเผชิญกับความล่าช้าในการนำเทคโนโลยีพื้นฐานมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในหน่วยงานภาครัฐที่ยังเป็นไปอย่างจำกัดและล่าช้า
นอกจากนี้ ยังไม่มีแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดรวมศูนย์ (Unified Open Data Platform) ที่สมบูรณ์แบบเพื่อปลดล็อกมูลค่าของข้อมูลภาครัฐให้ภาคเอกชนและประชาชนสามารถนำไปใช้สร้างนวัตกรรมได้ การขาดกลไกเหล่านี้ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายที่อาศัยข้อมูลขนาดใหญ่ทำได้อย่างยากลำบาก
5. วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์: การตั้งเป้าหมาย EGDI Top 40
ในแง่ของวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ธนาคารโลกสนับสนุนการตั้งเป้าหมายเชิงรุก โดยไทยควรวางเป้าหมายให้ดัชนีการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Index หรือ EGDI) ติดอันดับ Top 40 ของโลก ซึ่งต้องอาศัยการให้บริการภาครัฐที่สะดวก โปร่งใส และที่สำคัญคือต้องเป็นบริการที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถใช้งานได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุด
6. กรณีศึกษาภาคสวัสดิการสังคม: การขาดการเชื่อมโยงเพื่อช่วยเหลือที่ตรงจุด
ในภาคสวัสดิการสังคม (Social Welfare) ปัญหาความกระจัดกระจายของข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญ ข้อมูลของผู้มีสิทธิ์รับความช่วยเหลือยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน (Interoperability) อย่างสิ้นเชิง ทำให้การช่วยเหลือขาดความแม่นยำ ไม่สามารถระบุตัวกลุ่มเปราะบางได้อย่างตรงจุด และนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
แนวทางแก้ไขคือการเพิ่มการใช้ Big Data Analytics เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายและออกแบบมาตรการช่วยเหลือที่ "ตรงจุด" (Targeted Policy) ได้มากขึ้น และจำเป็นต้องมีการจัดตั้งระบบทะเบียนสังคมแบบรวมศูนย์ (Federated Social Registry) เพื่อให้ข้อมูลด้านสวัสดิการถูกแบ่งปันอย่างเป็นระบบ
ธนาคารโลกได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ DDIR 2025–2029 เป็นโรดแมป 5 ปี เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการแก้ไข 6 ปัญหาข้างต้น โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะหลัก: