net-zero

ธนาคารโลกเตือน ไทยเสี่ยงสูญ GDP สูงสุด 14% ภายในปี 2050 หากไม่เร่งรับมือโลกร้อน

In Brief

  • ธนาคารโลกเตือนว่าหากไทยไม่เร่งปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทำให้ GDP ลดลงสูงสุด 14% ภายในปี 2593
  • ความเสียหายหลักเกิดจากผลกระทบทางกายภาพ เช่น อุทกภัย ความเครียดจากความร้อน และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่อาจทำให้สูญเสียตลาดส่งออก
  • รายงานชี้ว่าต้นทุนของการนิ่งเฉยสูงกว่าการลงทุนเพื่อปรับตัว ซึ่งการลงมือทำอย่างจริงจังจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้

ธนาคารโลก (World Bank) เปิดเผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ชี้ว่า การไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดย GDP อาจลดลง 7–14% ภายในปี 2050 หรือเทียบเท่าการชะลอตัวของการเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 0.5% ทำให้เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 ไกลออกไป

รายงานระบุว่า ต้นทุนของการนิ่งเฉยสูงกว่าการลงทุนเพื่อปรับตัวอย่างมาก โดยผลกระทบทางกายภาพที่สำคัญได้แก่ ภาวะอุทกภัย ความเครียดจากความร้อน และการสูญเสียผลิตภาพแรงงาน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2011 เคยสร้างความเสียหายมากถึง 12.6% ของ GDP และหากเกิดซ้ำในปี 2030 อาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวเกือบ 10% ขณะที่การฟื้นตัวล่าช้าอาจเพิ่มความสูญเสียเป็น 15%

สำหรับกรุงเทพมหานคร อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 85,000–123,000 ล้านบาทต่อปี หรือราว 2% ของ GDP เมืองหลวง จากต้นทุนด้านสุขภาพ การสูญเสียแรงงาน และค่าใช้จ่ายพลังงานที่เพิ่มขึ้น

นอกจากผลกระทบทางกายภาพแล้ว ไทยยังเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำทั่วโลก หากไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเสี่ยงที่จะสูญเสียตลาดส่งออก ห่วงโซ่อุปทาน และรายได้จากการท่องเที่ยวอาจทำให้ GDP ลดลงอีกเกือบ 7% ภายในปี 2050 โดยเฉพาะเมื่อกว่า 78% ของบรรษัทข้ามชาติเตรียมกีดกันซัพพลายเออร์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงภายในปี 2025

อย่างไรก็ตาม รายงานชี้ว่าการลงมือทำ สามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมหาศาล การลงทุนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ระบบป้องกันน้ำท่วม ความมั่นคงทางน้ำ และการป้องกันชายฝั่ง แม้ต้องใช้งบเฉลี่ยกว่า 1% ของ GDP ต่อปี แต่สามารถเพิ่มการเติบโตได้ 2–3% ภายในปี 2040 และ 4–5% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับสถานการณ์เดิม

รายงาน CCDR ประเมินว่า หากไทยดำเนินนโยบายลดคาร์บอนเชิงรุก (Accelerated Decarbonization) GDP ในปี 2050 จะสูงขึ้นราว 2.5% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ฐาน โดยต้องลงทุนรวมราว 219,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP สะสมตลอด 25 ปีข้างหน้า

การระดมทุนเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายนี้จำเป็นต้องอาศัยทั้งภาครัฐและเอกชน ภาครัฐจะมีบทบาทหลักในการลงทุนด้านการปรับตัว เช่น โครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วม และระบบคุ้มครองทางสังคม โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายสาธารณะจะเพิ่มเฉลี่ย 1% ของ GDP ต่อปี ขณะเดียวกัน การนำภาษีคาร์บอนมาใช้ในอัตราเริ่มต้น 25 ดอลลาร์ต่อ tCO2e ตั้งแต่ปี 2030 จะสร้างรายได้ภาครัฐใกล้เคียง 1% ของ GDP ซึ่งสามารถนำไปชดเชยผลกระทบต่อครัวเรือนรายได้น้อยได้

ด้านการลดคาร์บอนภาคพลังงาน รายงานเสนอให้เร่งปฏิรูปตลาดเพื่อเปิดทางพลังงานหมุนเวียนและปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน 98,000 ล้านดอลลาร์ แต่จะทำให้ต้นทุนไฟฟ้าลดลงจาก 7 เหลือเพียง 5.6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

ท้ายสที่สุด ธนาคารโลกมองว่า ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้ส่งออกสินค้าเเละบริการสีเขียวโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มการส่งออกได้อีก 2–3% ของ GDP ภายในปี 2030