KEY
POINTS
ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่รายงาน Digital Progress and Trends Report 2025: Strengthening AI Foundations สะท้อนภาพชัดเจนว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็น “ตัวแปรหลัก” ที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั่วโลก
ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่นวัตกรรมและเม็ดเงินลงทุนด้าน AI ยังคงกระจุกตัวอยู่ในประเทศรายได้สูง ส่งผลให้โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่สภาวะ “AI Polarization” หรือการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยี หากประเทศกำลังพัฒนาไม่เร่งวางรากฐานวันนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในห่วงโซ่มูลค่าใหม่ของโลก
รายงานชี้ว่า ประเทศรายได้สูง (High-Income Countries: HICs) ครองสัดส่วนสตาร์ทอัพด้าน AI ถึง 85% ของโลก และได้รับเม็ดเงิน Venture Capital สูงถึง 91% ตอกย้ำภาพความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในระบบนิเวศนวัตกรรม ขณะที่ประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำยังเป็นเพียง “ผู้ตาม” ในสนามการแข่งขันนี้
อย่างไรก็ตาม World Bank พบสัญญาณที่น่าสนใจว่า ความต้องการแรงงานทักษะ AI ในประเทศกำลังพัฒนากำลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าโลกพัฒนาแล้ว ตำแหน่งงานด้าน AI ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางตอนบน (UMICs) เติบโต 16% และในรายได้ปานกลางตอนล่าง (LMICs) เพิ่มขึ้น 11% ขณะที่ประเทศรายได้สูงเพิ่มขึ้นเพียง 2% เท่านั้น
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า “ศักยภาพของแรงงาน” ในประเทศกำลังพัฒนายังเปิดกว้าง หากได้รับการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและทักษะอย่างจริงจัง
หัวใจของรายงานอยู่ที่กรอบแนวคิด “4Cs” ซึ่งสนามแข่งขัน AI โลกในทศวรรษหน้าไม่ได้วัดกันที่จำนวนบอทหรือโมเดลภาษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากรากฐานพื้นฐานที่ประเทศมีหรือยังไม่มี
Connectivity – โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพลังงาน
World Bank ชี้ว่า ช่องว่างด้านความเร็วอินเทอร์เน็ตยังขยายตัว ประเทศรายได้สูงและรายได้ปานกลางตอนบนมีความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในช่วงปี 2023-2024 ขณะที่ LMICs และประเทศรายได้ต่ำ (LICs) ยังคงมีความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า 25 Mbps ซึ่งไม่เพียงพอต่อการพัฒนาและใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น AI ไม่ได้ต้องการแค่อินเทอร์เน็ต แต่ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร ศูนย์ข้อมูล และระบบส่งจ่ายพลังงานที่มั่นคง หากประเทศยังไม่สามารถแก้โจทย์พลังงานได้ การพูดถึง AI ระดับสูง ก็อาจเป็นเพียง “ความฝันทางนโยบาย”
Compute – ชิป AI ศูนย์ข้อมูล และคลาวด์
ขุมกำลังของ AI หรือ “Compute” ยังถูกผูกขาดโดยผู้เล่นไม่กี่ราย โดย NVIDIA ครองตลาด Data Center GPU ถึง 92% ส่วนตลาดคลาวด์ถูกครอบครองโดย Amazon Web Services, Google Cloud และ Microsoft Azure รวมกันกว่า 2 ใน 3 ของโลก ขณะที่ระบบประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC) กว่า 86% ตั้งอยู่ในประเทศรายได้สูง
สิ่งนี้ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งด้านต้นทุน ความมั่นคงทางข้อมูล และอธิปไตยทางดิจิทัล
Context – ข้อมูลและบริบทท้องถิ่น
โลกของ AI ในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก (45% ของ URL ทั่วโลก และ 56% ของ Open-source datasets) ทำให้ประเทศที่มีภาษาและวัฒนธรรมต่างออกไปมีบทบาทน้อย
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า “Non-text data” เช่น วิดีโอและเสียง อาจเป็นช่องทางใหม่ที่ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น เช่น คอนเทนต์วิดีโอบน YouTube ที่เป็นภาษาฮินดีและสเปน ซึ่งมีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือพื้นที่ใหม่ของ “Data Sovereignty” ที่ประเทศควรลงทุนเชิงกลยุทธ์
Competency – ทักษะและบุคลากร
งานด้าน AI กว่า 70% ยังกระจุกอยู่ในประเทศรายได้สูง และการผลิตผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT ส่วนใหญ่เกิดในจีน สหรัฐฯ และอินเดีย ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งเผชิญปัญหาสมองไหล (Brain Drain) บุคลากรที่มีความสามารถย้ายไปทำงานยังประเทศพัฒนาแล้ว
โจทย์สำคัญจึงไม่ใช่แค่ “ผลิตคน” แต่ต้อง “รักษาคน” และสร้างระบบนิเวศที่ทำให้คนเก่งอยากอยู่และเติบโตในประเทศตนเอง
Small AI – ทางรอดที่จับต้องได้ของประเทศกำลังพัฒนา
World Bank เสนอทางเลือกที่น่าสนใจคือ “Small AI” ซึ่งเป็นโมเดลเฉพาะทาง (Specialized Models) ที่ใช้ข้อมูลและพลังประมวลผลต่ำ ทำงานได้บนอุปกรณ์พื้นฐานอย่างสมาร์ทโฟน และสามารถทำงานแบบออฟไลน์ได้ เหมาะกับบริบทประเทศกำลังพัฒนา
ตัวอย่างการใช้งาน ได้แก่ ระบบติวเตอร์ AI ในไนจีเรีย แอปพลิเคชันวินิจฉัยโรคเบื้องต้นสำหรับพยาบาลในซูดานใต้ หรือระบบช่วยเกษตรกรวิเคราะห์โรคพืชจากภาพถ่าย สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า ประเทศไม่จำเป็นต้องแข่งในสนาม “Big AI” แต่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ด้วย “AI ที่เหมาะกับบริบท”
ลงทุนตามระดับความพร้อม ไม่ใช่สูตรเดียวใช้ได้ทุกประเทศ
รายงานเสนอแนวทางชัดเจนว่า การลงทุนด้าน AI ต้องสอดคล้องกับระดับความพร้อมของแต่ละประเทศ
ประเทศความพร้อมต่ำ ควรเร่งลงทุนไฟฟ้าและบรอดแบนด์ราคาประหยัด ใช้คลาวด์จากต่างประเทศเป็นหลัก และพัฒนาทักษะดิจิทัลพื้นฐาน
ประเทศความพร้อมปานกลาง ต้องยกระดับโครงสร้างไอที ลงทุนศูนย์ข้อมูลภายในประเทศ ปรับใช้โมเดล Open-source และเร่งสร้างทักษะขั้นสูง
ส่วนประเทศความพร้อมสูง เป้าหมายคือ “ผู้นำ” ผ่านการลงทุนชิป AI ระบบ HPC และงานวิจัยขั้นแนวหน้า
World Bank ระบุชัดว่า AI ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือขยายความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่ แต่ต้องเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างทั่วถึง หากรัฐบาลและภาคเอกชนไม่เร่งตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงเวลานี้ หน้าต่างแห่งโอกาสอาจปิดลงเร็วกว่าที่คาด และประเทศกำลังพัฒนาอาจกลายเป็นเพียง “ผู้บริโภคเทคโนโลยี” ไปตลอดกาลในเศรษฐกิจโลกยุค AI