KEY
POINTS
วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย ว่า สศช.ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 คาดว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัวได้ประมาณ 0.6% และทั้งปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 2% โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังคงมีแรงส่งต่อไปจนถึงปีหน้า ผ่านมาตรการของรัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
"ตัวเลข 0.6% นี้ เป็นการประเมินเบื้องต้นของ สศช. โดยนำมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาใช้แล้วมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น คนละครึ่งเฟสแรก แต่ก็ยังมีอีกหลายมาตรการที่จะทยอยออกมา ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลอีกครั้งว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน เพราะเป้าหมายของรัฐบาล ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายน่าจะโตประมาณ 1.1% แต่ สศช.ก็ประเมินเบื้องต้น โดยตัดที่ไตรมาสที่ 3 ภายใต้สมมติฐานที่มีอยู่ก็คาดว่าจะโตประมาณ 0.6%" น.ส.อ้อนฟ้า ระบุ
ส่วนเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่สาม ซึ่งขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% ในช่วงไตรมาสที่สองนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความผันผวนค่อนข้างมาก ทั้งสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ และปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนทำให้ GDP ปรับลดลงมากที่สุดในช่วง 10 ไตรมาส โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม ปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส อยูที่ 1.6% เทียบกับการขยายตัว 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และการปิดโรงงานชั่วคราวเพื่อย้ายฐานการผลิตยานยนต์จากภาคกลางไปยังภาคตะวันออกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังไตรมาสถัดไป จนอาจทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หรือไม่นั้น น.ส.อ้อนฟ้า เห็นว่า ณ ปัจจุบัน ยังไม่ไม่เพียงพอที่จะตอบได้ว่าเกิด Technical Recession หรือไม่ จึงต้องพิจารณาข้อมูลทั้งด้านการเงินการคลังควบคู่กันไปก่อน
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยในปี 2569 นั้น สศช. ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2 – 2.2% โดยมีค่ากลางประมาณ 1.7% โดยเชื่อว่า การขับเคลื่อนการใช้จ่ายงบประมาณจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่นเดียวกับการลงทุนภาครัฐที่มีกรอบวงเงินเพิ่มมากขึ้นด้วย
ส่วนการส่งออกในปีหน้า สศช.ประเมินว่า จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย ในอัตรา 19% โดยเชื่อว่าการเจรจาการค้าจะมีความสำคัญอย่างมาก พร้อมกันนี้ในแนวทางการรับมือการส่งออกก็จำเป็นต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ เช่น แอฟริกา เป็นต้น
ทั้งนี้ สศช. ประเมินปัจจัยเสี่ยงในปี 2569 ว่า ต้องให้ความสำคัญกับ Reciprocal Tariffs โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่องทางที่สำคัญ ดังนี้
1. ผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย โดยคาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับตัวลดลงในปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ซึ่งมีสัดส่วน 5.46% 2.73% 2.62% และ 1.5% ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ ตามลำดับ
โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ภายหลังจากขยายตัวในเกณฑ์สูง (Front-load) ในช่วงสามไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาค
2. ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบของไทยลดลงต่อเนื่อง อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น
3. ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงของการส่งออกจากการถ่ายลำ (Transshipment) หรือปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออกเพื่อเป็นทางผ่านให้ประเทศที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะถือเป็นสินค้ากลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 40% โดยกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิแผงพลังงานแสงอาทิตย์ แผงวงจรพิมพ์และล้อรถและชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
4. ผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้า อันเนื่องมาจากการเจรจาการค้าโดยการลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ของไทย โดยเฉพาะสินค้าภาคการเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและชิ้นส่วน และยานยนต์ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
นอกจากนี้ยังต้องติดตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกโดยมีเงื่อนไขความเสี่ยงที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย
1. ความยืดเยื้อและความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศและการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกในภาพรวม และมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลกหากยกระดับความรุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากสินค้ารายสินค้าแบบเฉพาะเจาะจงและมาตรการควบคุมการค้าระหว่างประเทศในสินค้าทุนและวัตถุดิบสำคัญ อาทิ แร่ธาตุหายากสำคัญ เหล็กและอลูมิเนียม และยานยนต์และชิ้นส่วน
2. ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ
3. ความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนและการส่งออกของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในระยะต่อไป
4. ความเสี่ยงทางด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านเงินเฟ้อผ่านการเพิ่มขึ้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน
5. ความผันผวนของตลาดทุนอันเนื่องมาจากแนวโน้มการปรับฐานราคา (Re-pricing) ของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยีที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ทำสถิติมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องจากการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาจส่งผลต่อการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคและระดับความมั่งคั่งของครัวเรือน และกลายเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูงที่จะเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนด้วย