KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) ประเทศไทย โดยระบุว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 1.5–1.7%
และภาพรวมทั้งปีที่คาดว่าจะโตประมาณ 2% ตามที่ สศช.เป็นตัวเลขที่คณะกรรมการร่วมภาคเอน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ไว้ โดยสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวต่อเนื่อง จนเสี่ยงตกอยู่ในภาวะรถติดหล่มหากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
แม้ภาพรวมยังมีความท้าทาย แต่ไทยยังมีโอกาสพลิกเกมทั้งการผลักดันอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) และดิจิทัล รวมถึงนโยบาย Quick Big Win ของภาครัฐ ซึ่งอาจช่วยดึงเศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ หากลงมือทันเวลา
อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจยังขยายตัว แต่เผชิญข้อจำกัดสำคัญ เช่น กำลังซื้อในประเทศอ่อนแรง หนี้ครัวเรือนสูง และการบริโภค–การลงทุนของรัฐที่ชะลอลงตามที่ สศช. รายงาน
อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความตึงเครียดระหว่างประเทศ และโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่จำเป็นต้องเร่งปรับตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของ สศช. ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2569 จะโตเพียง 1.2–2.2% ยิ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศไทยไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป
ดังนั้น จึงต้องการเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งสปีดในการทำมาตรการสนับสนุน เช่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม ลดต้นทุนพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถให้เอสเอ็มอี (SMEs) รวมถึงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แก้ปัญหากีดกันทางการค้า
หากภาครัฐดำเนินมาตรการต่าง ๆ ล่าช้าเกินไป ผลที่ตามมา คือ ไทยอาจสูญเสียจังหวะในการแข่งขันกับประเทศอื่นที่ขยับตัวเร็วกว่า หากปรับตัวไม่ทันทั้งภาคการผลิต การส่งออก และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศก็จะอ่อนแรงลง ส่งผลให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยถูกจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งในภูมิภาคกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยี ปรับปรุงกระบวนการผลิต และออกนโยบายดึงดูดนักลงทุนอย่างเข้มข้น หากไทยไม่ตอบสนองอย่างทันท่วงที ก็เสี่ยงทำให้ต่างชาติหันไปลงทุนที่อื่นแทน ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสสำคัญในการขยายภาคอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าสินค้า และสร้างการเติบโตระยะยาว