รัฐบาลเร่งกู้วินัยการคลัง ตั้งเป้าลดขาดดุลเหลือ 2.1%ในปี 73

19 พ.ย. 2568 | 08:45 น.
อัปเดตล่าสุด :19 พ.ย. 2568 | 08:45 น.

รัฐบาลเดินหน้ากอบกู้วินัยการคลัง ประกาศแผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งเป้าลดขาดดุลงบประมาณ ไม่เกิน 2.1% ในปี 2573 เน้นควบคุมรายจ่ายเติบโต 0.2–1%ต่อปี เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง 

‘พื้นที่ทางการคลัง’ ที่จำกัด ทำให้ประเทศไทยถูกปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือจาก Stable เป็น Negative จากสถาบันจัดอันดับเครดิต (Credit Rating Agencies)ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการให้ความสำคัญกับวินัยการคลังจึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล  ภายใต้นโยบาย Quick Big Win  ที่มุ่งเน้น 5 เสาหลักเศรษฐกิจ และ 1 ฐานราก 

‘ฐานราก’ ที่รัฐบาล โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พูดถึงคือ การรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ ด้วยการส่งสัญญาณผ่านการปรับแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF)

ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันจัดอันดับเครดิตและสาธารณชนมั่นใจว่า ประเทศไทยสามารถปรับลดการขาดดุลการได้ 

สำหรับแผนการคลังระยะปานกลางครั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายสำคัญที่ปรับลดการขาดดุลการคลังลดลงจากระดับ 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2569 ไปสู่ระดับ ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 โดยจะยังคงเพดานหนี้สาธารณะไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP และไม่มีการขยายเพดานดังกล่าว

ทั้งนี้ แผนดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยรักษาวินัยการคลัง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 

รัฐบาลเร่งกู้วินัยการคลัง ตั้งเป้าลดขาดดุลเหลือ 2.1%ในปี 73

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะใช้ ‘เครื่องมือทางการคลังที่ไม่ก่อหนี้สาธารณะ’ เพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFF) และ โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่เพิ่มภาระทางการคลัง 

ในส่วนของกรอบวินัยการคลัง กระทรวงการคลังจะเข้มงวดมากขึ้น ทั้งในการใช้ มาตรา 28 ซึ่งยังคงเพดานไว้ที่ 32% ของงบประมาณ แต่จะเพิ่มความรอบคอบในกระบวนการอนุมัติ รวมถึง ลดเพดานการก่อหนี้ผูกพันกลางปี จาก 8% เหลือ 5% ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้เกิดวินัยทางการเงินมากขึ้น   

จุดสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2570–2573 คือ การลดระดับการขาดดุลลงอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพหนี้สาธารณะและอาศัยการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP อยู่ในระดับที่บริหารได้  

ในปีงบประมาณ 2570 รัฐบาลคาดว่า รายได้สุทธิจะอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2.7%จากปี 2569 ขณะที่ GDP ขยายตัวขึ้นจาก 19,371,000 ล้านบาท เป็น 20,049,000 ล้านบาท  

ด้านรายจ่าย รัฐบาลตั้งงบรายจ่ายที่ 3,788,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% จากปีก่อน เป็นการขยายตัวในระดับต่ำตามเป้าการควบคุมรายจ่าย ส่งผลให้ดุลการคลังในปีนี้ขาดดุล  788,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.9% ของ GDP  ส่วนหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 13,794,810 ล้านบาท หรือคิดเป็น 69.4% ของ GDP 

ตลอดช่วงแผนการคลังปี 2570–2573 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดย GDP เพิ่มจาก 19.37 ล้านล้านบาทในปี 2569 เป็น 20.05 ล้านล้านบาทในปี 2570 หรือเติบโต 3.5% ก่อนจะขยับขึ้นเป็น 20.83 ล้านล้านบาทในปี 2571 เติบโต 3.9%  

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังดำเนินต่อเนื่องในปี 2572 ซึ่ง GDP เพิ่มเป็น 21.69 ล้านล้านบาท หรือขยายตัว 4.1% และขยายตัวในอัตราสูงสุดของช่วงแผนในปี 2573 ที่ 4.5% ดันมูลค่า GDP แตะ 22.66 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นช่วยลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในช่วงท้ายแผน 

ในปี 2571 รายได้รัฐบาลเพิ่มเป็น 3,145,000 ล้านบาท โดยอัตราการเพิ่มอยู่ที่ 4.8% สอดคล้องกับการขยายตัวของ GDP ที่เพิ่มขึ้นเป็น 20,831,000 ล้านบาท 

งบประมาณรายจ่ายขยับขึ้นเป็น 3,826,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 1% ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุลลดลงมาอยู่ที่ 681,000 ล้านบาท ลดลงชัดเจนจากปีก่อน และคิดเป็น 3.3% ของ GDP หนี้สาธารณะคงค้างในปีนี้อยู่ที่ 14,419,390 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่สัดส่วนหนี้ต่อ GDP สูงสุดของแผน อยู่ที่ 69.8% 

ปี 2572 รัฐบาลประเมินรายได้สุทธิไว้ที่ 3,274,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากปีก่อน ขณะที่ GDP เติบโตขึ้นเป็น 21,685,000 ล้านบาท

งบรายจ่ายถูกกำหนดที่ 3,864,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ทำให้ดุลการคลังขาดดุลลดลงเหลือ 590,000 ล้านบาท หรือ 2.7% ของ GDP แสดงให้เห็นการปรับลดขาดดุลอย่างสม่ำเสมอตามเป้าหมายของแผน 

ด้านหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มเป็น 14,954,436 ล้านบาท แต่สัดส่วนต่อ GDP ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 69.5% ในปีสุดท้ายของแผน ระบุว่ารายได้รัฐบาลจะเพิ่มเป็น 3,422,000 ล้านบาท ขยายตัว 4.5% เป็นปีที่รายได้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดของช่วงแผน ขณะที่ GDP เติบโตต่อเนื่องเป็น 22,661,000 ล้านบาท  

งบรายจ่ายขยับขึ้นเป็น 3,903,000 ล้านบาท เพิ่ม 1% ทำให้ขาดดุลลดลงมาอยู่ที่ 481,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขขาดดุลต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี คิดเป็น 2.1% ของ GDP   

ปริมาณหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นตามกลไกการชดเชยขาดดุล อยู่ที่ 15,335,708 ล้านบาท แต่ด้วยการเติบโตของ GDP ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงเหลือ 68.2% เป็นระดับเดียวกับฐานปี 2569 สะท้อนเสถียรภาพทางการคลังที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงกลางแผน

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,150 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2568