KEY
POINTS
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ว่า ที่ประชุมได้มีมติปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ตามนโยบาย Quick Big Win 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในสัปดาห์หน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency) ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับวินัยทางการคลัง โดยเน้นความโปร่งใส ความมีวินัย และกฎกติกาที่ชัดเจน
ทั้งนี้ แผนการคลังระยะปานกลางดังกล่าว มีเป้าหมายสำคัญที่จะปรับลดการขาดดุลการคลังสู่ระดับมาตรฐาน โดยกำหนดให้ขาดดุลไม่เกิน 3% ของจีดีพี ภายในปีงบประมาณ 2572 จากปัจจุบันในปีงบประมาณ 2569 คาดว่าจะขาดดุลที่ 4.4% และยืนยันว่า จะไม่มีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ โดยยังคงกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี
“หากมีการขาดดุลการคลังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เช่น การวางเป้าลดการขาดดุล เหลือ 3% ภายในปี 2572รัฐบาลขณะนั้นจะต้องเพิ่มรายได้หรือลดรายจ่ายเพื่อชดเชย โดยยึดดุลการคลังเป็นหลักการสำคัญ และการประกาศแผนการคลังฉบับนี้ มีขึ้นเพื่อหวังว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ยังไม่ได้ประกาศมุมมองใหม่จะมีความเชื่อมั่นต่อความตั้งใจจริงของไทยในการรักษาวินัยทางการคลัง”
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลางนี้ จะส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นด้านวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่
1. การจัดการที่ชัดเจน กำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย หนี้สิน และทรัพย์สิน.
2. ยกระดับความโปร่งใส (Fiscal Rule) ปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์ทางการคลัง โดยจะมีการรายงานรายได้ที่สูญเสียไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างชัดเจนในอนาคต มาตรการนี้รวมถึงการรายงานสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เกิดจากมาตรการของ BOI ด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ
3. กำกับมาตรการกึ่งการคลัง วางแนวทางในการกำกับดูแลการดำเนินงานมาตรการกึ่งการคลังภายใต้มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนในการจัดการภาระการคลังที่ Rating Agency อาจมีความเห็นว่ามีการใช้ค่อนข้างมาก
“ตอนนี้กรอบการใช้มาตรา 28 ยังคงอยู่ที่ 32% แต่จะเข้มงวดในกระบวนการอนุมัติการใช้ โดยจะอ้างอิงระเบียบเดียวกับการพิจารณางบกลาง ตามระเบียบของสำนักงบประมาณ จากในอดีตที่ต่างคนต่างใช้”
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้เพิ่มความเข้มงวดในรายละเอียดหลายส่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพ ทั้งการปรับสัดส่วนงบกลาง โดยจะถูกกำหนดให้แคบลง จากเดิม 2-3.5% เหลือ 2-3% ขณะที่การชำระต้นเงินกู้ กำหนดให้ชำระต้นเงินกู้ไม่น้อยกว่า 4% จากเดิมที่กำหนดกรอบกว้าง 3.5-5%
ด้านการการก่อหนี้ผูกพันนอกเหนืองบประมาณ ตามมาตรา 42 ของพ.ร.บ.งบประมาณ สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันที่เกินกว่าหรือนอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณจะถูกลดกรอบลง จาก 8% เหลือ 5% การลดกรอบนี้มีเป้าหมายเพื่อไม่ให้มีการก่อหนี้ผูกพันกลางปีที่มากเกินไป
นายเอกนิติ กล่าวว่า การลดการขาดดุลงบประมาณจะไม่กระทบต่องบลงทุน โดยรัฐบาลจะใช้เครื่องมือทางการคลังที่เป็นนวัตกรรมและไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) และการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP)
ด้านนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า สำนักงบประมาณได้มีการเร่งรัดปฏิทิน การจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ให้เร็วขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะงักในปีที่มีการเลือกตั้ง โดยหลังจากครม.อนุมัติแผนการคลังฉบับนี้แล้ว จากนั้นวันที่ 25 พ.ย.68 สำนักงบประมาณจะเสนอครม. อนุมัติกรอบพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 เพื่อเดินหน้าเสนอพ.ร.บ.งบประมาณเข้าสภาฯ ใน 27 ม.ค.69
“หากเกิดเหตุการณ์ยุบสภา กระบวนการในสภาจะหยุดลง แต่ร่างงบประมาณที่ผ่าน ครม. ชุดปัจจุบันแล้วจะยังอยู่ และต้องรอสภาชุดใหม่เข้ามารับพิจารณาต่อไป”