KEY
POINTS
รายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ในการรับมือกับมาตรการ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อรักษาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ และป้องกันปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเข้มงวดมากขึ้น โดยจะเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญที่มีสัดส่วนสูงถึง 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ หรือประมาณ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ทำให้การรักษาตลาดแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย
ปัจจุบันสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) จากเดิมที่พิจารณาจากกระบวนการผลิต มาเป็นการพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content หรือ RVC) เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศ จึงได้กำหนดแนวทางดำเนินการภายใต้โครงการเพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐฯ (RVC-Up) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และต่อเนื่องไปยังปี 2569 โดยมีผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ประมาณ 6,000 รายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 3 แผนงานหลัก ดังนี้
1.UP System พัฒนาระบบตรวจสอบด้วย AI โดยเป็นการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ รองรับปริมาณการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดที่เพิ่มขึ้น โดยกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไปสหรัฐฯ จากมาตรการและนโยบายที่ต้องตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐทุกรายสินค้า
โดยเพิ่มจำนวนงานให้กับกรมการค้าต่างประเทศมากขึ้นหลายเท่าตัว จากปัจจุบันที่สามารถตรวจสอบคำขอได้เฉลี่ย 90 ฉบับต่อเดือน โดยใช้เวลาเฉลี่ยคำขอละ 3 วัน แต่หากมาตรการใหม่บังคับใช้ ปริมาณคำขอจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8,000 ฉบับต่อเดือน ส่งผลให้ระยะเวลาการตรวจสอบขยายเป็นเฉลี่ยประมาณ 24 วัน ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนและรายได้จากการส่งออกของผู้ประกอบการ จึงต้องมีการพัฒนาระบบขึ้นมาช่วย
มาตรการนี้จะใช้งบประมาณ 12.9 ล้านบาท จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2569
2. UP Knowledge ให้ความรู้ผู้ประกอบการ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแนวใหม่ของสหรัฐฯ ผ่านกิจกรรมให้คำปรึกษา ฝึกอบรม และสัมมนาร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
3. UP Fund สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ สนับสนุนการให้ดอกเบี้ยเงินกู้อัตราพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ โดยทำงานเชิงบูรณาการกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงิน โดยเบื้องต้นโครงการนี้ใช้งบประมาณ 7.6 ล้านบาท จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2569
ส่วนอีกมาตรการหนึ่ง คือ การเฝ้าระวังธุรกิจนอมินี และต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมาย ที่อาจเป็นอีกช่องทางที่มีธุรกิจต่างชาติมาดำเนินการส่งออกสินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศไทยไปยังสหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.)
โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็น รองประธานกรรมการ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นเลขานุการ
คณะกรรมการชุดนี้จะมีหน้าที่และอำนาจของ คสธก. คือกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อบูรณาการหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานภายในขอบเขตหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย
รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงประชาสัมพันธ์ต่อประชาชนเพื่อสร้างความรู้เท่าทันและความเข้าใจสถานการณ์ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือมอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
โดยจะตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงนอมินี โดยใช้สำนักงานบัญชีหรือสำนักงานกฎหมายช่วยจดทะเบียน ความเสี่ยงที่คนไทยตกเป็นนอมินีโดยไม่รู้ตัวจนต้องเผชิญกับโทษทางกฎหมาย การตรวจสอบตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีข้อจำกัดในการใช้อำนาจ การตรวจสอบข้อมูลจากบุคคลที่เกี่ยวข้องอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงที่อำพรางของธุรกิจ
ทั้งนี้มีแนวทางการตรวจสอบแบ่งเป็นขั้น ดังนี้
โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ใช้ระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคล (IBAS) เพื่อตรวจสอบข้อมูลของนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงนอมินีที่คนไทยร่วมถือหุ้นกับคนต่างชาติในสัดส่วนที่คนไทยถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 51 ขึ้นไป ซึ่งประกอบธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
โดยรวบรวมรายละเอียดของกรรมการ ทุนจดทะเบียน และผู้ถือหุ้น โดยแสดงความเชื่อมโยงของผู้ถือหุ้นคนไทยกับนิติบุคคลที่ได้เข้าไปถือหุ้น รวมถึงความเชื่อมโยงกับนิติบุคคลอื่นที่อาจเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงนอมินี ทั้งในฐานะผู้ก่อการและผู้ถือหุ้นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท หรือในฐานะที่รับโอนหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม
โดยจัดส่งข้อมูลให้สำนักงาน ปปง. ตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางการเงินหรือธุรกรรมทางการเงิน (เส้นทางการเงิน) ของผู้ถือหุ้นคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิติบุคคล เพื่อประกอบการพิจารณาว่าได้ชำระค่าหุ้นหรือได้ลงทุนโดยถูกต้อง หรือมีพฤติกรรมที่อาจเป็นนอมินี โดยตรวจสอบใน 3 กรณี ได้แก่ 1.กรณีเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่จัดตั้งนิติบุคคล 2.กรณีบริษัทมีการจดทะเบียนเพิ่มทุน และ 3.กรณีผู้ถือหุ้นที่รับโอนหุ้น
โดยนำส่งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนิติบุคคลและผู้ถือหุ้นที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวน สอบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิด