ส่งออกจีนทรุดหนักสุดรอบ 8 เดือน สหรัฐฯ กดภาษีฉุดคำสั่งซื้อร่วง 25%

07 พ.ย. 2568 | 09:15 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2568 | 09:15 น.

เศรษฐกิจจีนสั่นสะเทือนอีกระลอก หลังยอดส่งออกเดือนตุลาคมร่วงแรงสุดนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ สินค้าจีนไปสหรัฐฯ ดิ่ง 25% ผลพวงจากภาษีทรัมป์ กดดันภาคการผลิต-ความเชื่อมั่นทั่วโลก

KEY

POINTS

  • ยอดส่งออกของจีนในเดือนตุลาคมหดตัว 1.1% ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 8 เดือน
  • สาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้คำสั่งซื้อสินค้าจีนที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 25.17%
  • ผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้จีนต้องพยายามหันมาพึ่งพาอุปสงค์และการบริโภคภายในประเทศเพื่อประคองเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจจีนกำลังเจอกับแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังข้อมูลศุลกากรล่าสุดเผยว่ายอดส่งออกเดือนตุลาคมร่วงลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และพลิกจากที่เคยเติบโตถึง 8.3% ในเดือนกันยายน สะท้อนแรงกระแทกจากภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มฉุดคำสั่งซื้อและความต้องการสินค้าจีนอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ ผู้ส่งออกจีนเร่ง “ส่งของล่วงหน้า” เพื่อหนีมาตรการภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ แต่เมื่อตลาดเริ่มอิ่มตัว ผลกระทบจริงของภาษีก็เริ่มปรากฏชัด โดยข้อมูลชี้ว่าสินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐฯ ดิ่งลงถึง 25.17% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นเพียง 0.9% และไปอาเซียน 11% ซึ่งแม้เป็นบวกแต่ยังไม่สามารถชดเชยตลาดสหรัฐฯ ที่จีนพึ่งพามานานได้

นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายมองตรงกันว่า โมเมนตัมการส่งออกของจีนเริ่มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีสิ้นสุดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนต้องกลับมาพึ่ง “อุปสงค์ในประเทศ” มากขึ้น หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Baoyin Capital Management เตือนว่า เมื่อแรงส่งจากภาคการส่งออกเริ่มหมด จีนจำเป็นต้องพึ่งพาการบริโภคภายในเพื่อประคองเศรษฐกิจ

แม้ผู้นำสองประเทศคือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่งบรรลุข้อตกลง “พักรบทางการค้า” ชั่วคราว เป็นเวลา 1 ปี แต่สินค้าจีนที่เข้าสหรัฐฯ ยังถูกเก็บภาษีเฉลี่ยสูงถึง 45% ซึ่งเกินกว่าระดับ 35% ที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายชี้ว่าเป็นจุดที่ “กำไรของผู้ผลิตจีนหายไปแทบหมด”

นักวิเคราะห์จาก UOB สิงคโปร์ มองว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจช่วย “ประคองสถานการณ์ระยะสั้น” ได้ แต่ในระยะยาว ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มจะลดการพึ่งพากันมากขึ้น ซึ่งหมายถึง “สัดส่วนการส่งออกของจีนไปสหๆ”

ขณะเดียวกัน จีนพยายามเร่งขยายตลาดใหม่ โดยล่าสุดประกาศเตรียมผลักดันความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก หลังเดือนที่แล้วจีนมีดุลการค้ากับอียูอยู่ที่ 21.9 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมยังเพิ่มขึ้นแตะ 24.76 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอีกด้านที่กดดันเศรษฐกิจจีนไม่แพ้กันคือ “อุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแรง” โดยยอดนำเข้าเติบโตเพียง 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ลดลงจาก 7.4% ในเดือนกันยายน และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.2%

รัฐบาลปักกิ่งประกาศแผนเพิ่มสัดส่วนการบริโภคภาคครัวเรือนต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่งกำหนดทิศทางเศรษฐกิจระยะปี 2569-2573 เพื่อพยุงการเติบโตที่กำลังเผชิญแรงต้านจากหลายด้าน

ในเชิงโภคภัณฑ์ จีนยังคงนำเข้าถั่วเหลือง น้ำมันดิบ และแร่เหล็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถั่วเหลืองจากอเมริกาใต้ที่เร่งซื้อก่อนราคาพุ่งจากการขาดการส่งมอบสินค้าระหว่างจีน–สหรัฐฯ แต่การนำเข้าทองแดงกลับลดลง เนื่องจากภาคก่อสร้างยังซบเซาและราคาทองแดงสูงเกินไปสำหรับผู้บริโภค

นักวิเคราะห์จากโนมูระเตือนว่า จีนกำลังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากหลายด้าน ทั้งการส่งออกที่ชะลอ การบริโภคที่อ่อนแรง และความไม่แน่นอนจากภาษีสหรัฐฯ จึงคาดว่าปักกิ่งอาจต้อง “หันกลับมาใช้มาตรการกระตุ้นการคลัง” เพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะสั้น