KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นที่ไทยจะยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าประมาณ 99% ของทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และเกษตรจากสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีตอบแทนที่ 19% ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทุกรายการ 100% เหลือ 0% ส่งผลกดดันให้ประเทศไทยต้องกลับมาทบทวนข้อเสนออีกครั้ง
ซึ่งในการพบกับผู้แทนการค้าของสหรัฐครั้งแรก ไทยมีข้อเสนอยอมยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 0% ที่ 60% ของสินค้านำเข้าจากสหรัฐ
แต่ล่าสุดจากการเจรจาหลายรอบ จนข้อเสนอได้ปรับมาเป็น ยกเลิกภาษีที่ 99% จากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด ประมาณ 11,000 รายการ ซึ่งถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูป
สำหรับโอกาสในที่นี้นั้น ยกตัวอย่างเช่น สินค้าการเกษตรบางประเภทของไทยที่มีผลผลิตไม่เพียงพอการบริโภคภายในประเทศ เช่น ข้าวโพด ความต้องการบริโภคของไทยปีละ 9-10 ล้านตัน แต่ไทยสามารถผลิตได้เพียง 4 ล้านกว่าตัน ที่เหลือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
โดยแบ่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 1ล้านตัน และอีก 4 ล้านตันจากประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล ขณะที่ประเทศสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวโพดรายใหญ่ของโลก ต้นทุนต่ำ หากไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ ทดแทนในส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ เนื่องจากข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักในการเลี้ยงสัตว์
ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง ต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์ลดลง รวมถึงคนก็จะได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกลง สำหรับประโยชน์ทางอ้อม หากไทยมีการนำเข้าข้าวโพด ก็จะช่วยลดปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในการเผาซังข้าวโพดช่วงฤดูเก็บเกี่ยวในประเทศเพื่อนบ้านได้อีกด้วย
รวมถึงการสร้างโอกาสความร่วมมือในอนาคต กล่าวคือ สหรัฐฯในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้าทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ต้นทุนต่ำ เพราะทำการเกษตรแปลงใหญ่และมีการใช้เทคโนโลยีที่ทุ่นแรงและเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนั้น นี่คือ โอกาสที่ไทยในฐานะผู้นำทางด้านการแปรรูปอาหารของโลก จะสามารถจับมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปไปด้วยกันแบบ วิน-วิน
ในส่วนของความท้าทายมองว่าบางภาคส่วนอาจได้รับผลกระทบ จึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยา ขณะเดียวกัน ต้องเร่งยกระดับและพัฒนาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการเพิ่มผลผลิต และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลไทยต้องมีการเจรจาที่รอบคอบ และกำหนดกรอบความร่วมมือให้ชัดเจน ไม่เพียงแค่เรื่องภาษีเท่านั้น แต่รวมถึงมาตรฐานสินค้า กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ หากไทยสามารถใช้ข้อตกลงดังกล่าวนี้เพื่อดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เทคโนโลยีชีวภาพ หรืออาหารแห่งอนาคต ดาต้าเซ็นเตอร์ และ Cloud Service ก็จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานโลกได้เร็วขึ้น
“ภาครัฐ ควรมีมาตรการเสริมควบคู่ เช่น การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้พร้อมแข่งขัน การใช้กลไกปกป้องชั่วคราว (Safeguard) สำหรับสินค้าบางประเภทในช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต เพื่อให้การเปิดเสรีครั้งนี้ ไม่กลายเป็นการเปิดตลาดให้ต่างชาติเข้ามาอย่างฝ่ายเดียว แต่เป็นโอกาสให้ไทยใช้เวทีนี้สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว”