บีโอไอนำร่อง 7 หน่วยงาน ดัน FastPass ลดเวลาอนุมัติโครงการ 20-50% เร่งลงทุน

10 พ.ย. 2568 | 09:04 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ย. 2568 | 09:07 น.

บีโอไอนำร่อง 7 หน่วยงาน ดันระบบFastPass ลดเวลาอนุมัติโครงการสำคัญ 20-50% เร่งลงทุนแก้ปัญหาไฟฟ้า–ที่ดิน–วีซ่า ตอบโจทย์ Quick Big Win

KEY

POINTS

  • บีโอไอร่วมกับ 7 หน่วยงานรัฐนำร่องใช้ระบบ FastPass เพื่อเร่งรัดกระบวนการอนุมัติโครงการลงทุน
  • ตั้งเป้าหมายลดระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตที่สำคัญลง 20-50% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว
  • มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุน (FastPass) เพื่อขับเคลื่อนและขยายผลระบบให้ครอบคลุมขั้นตอนหลักในการเริ่มต้นธุรกิจ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานภายใต้มาตรการเร่งรัดการลงทุนและแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน ประกอบด้วย 

  • การขับเคลื่อนระบบ FastPass เพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ 
  • ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค 3 ด้านสำคัญ คือ เรื่องไฟฟ้า การจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน วีซ่าและใบอนุญาต
  • การติดตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567 จำนวน 74 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท

โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบการขับเคลื่อนระบบ FastPass ในระยะแรก เพื่อเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาต ที่สำคัญจาก 7 หน่วยงาน ได้แก่ บีโอไอ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกรมการจัดหางาน และสำนักงาน EEC คาดว่าจะลดเวลาในการพิจารณาได้ 20-50% 

อีกทั้งบอร์ดบีโอไอยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุน (FastPass) โดยมีเลขาธิการบีโอไอเป็นประธาน และมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ/อนุญาต อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน กพร.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) กรอ.กนอ. สผ. และสำนักงาน EEC โดยมุ่งเป้าในการขยายระบบ FastPass ให้ครอบคลุมขั้นตอนหลักในการอนุมัติ/อนุญาตที่ส่งผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย

บีโอไอนำร่อง 7 หน่วยงาน ดัน FastPass ลดเวลาอนุมัติโครงการ 20-50% เร่งลงทุน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านการลงทุน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถเริ่มลงทุนได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอุปสรรค 3 ด้านสำคัญที่เป็นปัญหาร่วมกันของหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน โดยมีความคืบหน้าดังนี้

ด้านไฟฟ้า ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และบีโอไอ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน สรุปผลการประชุม 2 เรื่องสำคัญ คือ 

  • การจัดหาไฟฟ้าสำหรับกิจการ Data Center ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณสูงให้ กกพ. เร่งจัดทำกลไกการวางหลักประกันการใช้โครงข่ายระบบไฟฟ้า ให้ผู้ประกอบการรับประกันความต้องการใช้ไฟฟ้าของตนเอง เพื่อให้การไฟฟ้าสามารถวางแผนลงทุนขยายโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าให้รองรับ และสามารถออกหนังสือแจ้งความสามารถในการจ่ายไฟเพื่อให้ผู้ประกอบการเริ่มโครงการได้ทันที 
  • เรื่องกลไกพลังงานสะอาด กกพ. อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อให้บริการไฟฟ้าสีเขียว (UGT2) และโครงการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) ซึ่งคาดว่าการกำหนดหลักเกณฑ์และค่าธรรมเนียมจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อเพิ่มทางเลือกพลังงานสะอาดให้แก่ผู้ลงทุน โดยบีโอไอจะประสานงานติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน ที่ประชุมได้มอบให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ประสานงานกับสำนักงาน EEC และ กนอ. พิจารณาทบทวนการวางผังและปรับปรุงผังเมืองรวมและผังชุมชน เพื่อกำหนดแนวทางการเพิ่มพื้นที่สำหรับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ให้รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต พร้อมทั้งเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ EIA สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม และเร่งแก้ปัญหาโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตเปลี่ยนแปลงสภาพทางและลำรางสาธารณะโดยเร็ว

ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน มีมติให้เร่งรัดการออก e-Visaสำหรับผู้ที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอ
ในขั้นตอนการพิจารณาของสถานทูต ณ ประเทศต้นทาง ให้แล้วเสร็จภายใน 1–5 วันทำการ และให้เพิ่มบุคลากรที่ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (OSS) เพื่อรองรับการให้บริการจาก 200 คิวต่อวัน เป็น 500 คิวต่อวัน รวมทั้งขอให้กรมการจัดหางานเร่งแก้ปัญหาระบบ e-Work Permit เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคและเกิดความซ้ำซ้อนกับระบบ Single Window ของบีโอไอที่มีความเสถียรและสามารถออกใบอนุญาตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอได้รับทราบความคืบหน้าในการติดตามและเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567 จำนวน 74 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีโครงการที่เริ่มลงทุนแล้วหรือมีแผนจะลงทุนที่ชัดเจนราว 80% ทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ติดตาม แบ่งเป็นโครงการที่เริ่มลงทุนแล้วจำนวน 32 โครงการ (160,000 ล้านบาท) และโครงการที่จะเริ่มลงทุนในช่วงปลายปี 2568 ถึงปี 2569 อีก 28 โครงการ (82,500 ล้านบาท) 

ในส่วนอีก 14 โครงการที่เหลือ มีมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 61,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ชะลอหรือปรับเปลี่ยนแผนการลงทุน เนื่องจากประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ซึ่งบีโอไอจะติดตามความคืบหน้าและประสานงานช่วยเหลือผู้ประกอบการต่อไป