อนุทินเซ็นตั้งบอร์ด EV นั่งแท่นประธาน ดึงกุลิศ-เบญจรงค์ร่วมทีม

03 พ.ย. 2568 | 23:11 น.

อนุทินเซ็นตั้งบอร์ด EV พร้อมนั่งแท่นประธาน ลุยดึงกุลิศ-เบญจรงค์ร่วมทีม เตรียมประชุมนัดแรก 20 พ.ย. 68 เร่งปรับเงื่อนไขจูงใจเอกชนผลิตส่งออก

KEY

POINTS

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ชุดใหม่ และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการด้วยตนเอง
  • คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการ 18 คน โดยมีบุคคลสำคัญจากภาครัฐและเอกชนร่วมทีม เช่น นายกุลิศ สมบัติศิริ และนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี
  • บอร์ด EV ชุดใหม่มีภารกิจเร่งด่วนในการพิจารณามาตรการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออก และผลักดันการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ชุดใหม่ทั้หงมด 18 คน  

โดยมีนายอนุทินเป็นประธานกรรมการด้วยตัวเอง ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธาน ,นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เป็นกรรมการและเลขานุการ 

มีผู้ช่วยเลขานุการจาก 3 หน่วยงาน คือ ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ,ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นโครงสร้างคล้ายสมัยนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานบอร์ดอีวีด้วยตัวเองเช่นกัน 

ส่วนกรรมการอื่นๆ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ,ปลัดกระทรวงการคลัง ,เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ,ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) 

,นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ,นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ,นายกุลิศ สมบัติศิริ ,นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี  

อย่างไรก็ดี เดิมทีมีรายชื่อนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวออกมาตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายวรภัค ประกาศลาออกจากรมช.คลัง  ต้องดูว่า จะมีการแต่งตั้งใครมาแทนหรือไม่          

สำหรับการประชุมนัดแรก จะเริ่มวันที่ 20 พ.ย. 68 หากนายกฯไม่ติดภารกิจด่วน โดยมีวาระเร่งด่วนที่ต้องพิจารณาหลายวาระ ซึ่งหนึ่งในวาระสำคัญ เช่น มาตรการเห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ปรับเงื่อนไขคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการอีวี 3 และอีวี 3.5  จูงใจเอกชนผลิตเพื่อส่งออก 

จากที่ผ่านมาได้อนุมัติในบอร์ดชุดน.ส.แพทองธารไปแล้ว แต่นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ทัน โดยจะนำมาตรการดังกล่าวมาหารือในบอร์ดอีวีใหม่อีกครั้ง และนำเข้าครม.พิจารณาเห็นชอบต่อไป เบื้องต้นไม่น่าจะเปลี่ยนอะไรมาก เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่ให้กรมสรรพสามิตรปรับเงื่อนไขในการคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชย สาระสำคัญ เช่น ให้ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน สำหรับยานยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่ปี  68 ตามข้อเสนอของส.อ.ท.และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขยายตลาดส่งออก โดยคาดว่าจะทำให้จำนวนการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 12,500 คัน ในปี 68 และ 52,000 คัน ในปี 69  

อีกทั้งยังมีโจทย์สำคัญที่รอให้บอร์ดอีวีพิจารณา โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถอีวีที่ผลิตในประเทศ หันมาใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศ และให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมานายอนุทินได้ให้ความสำคัญกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประกาศว่าไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี รวมถึงแบตเตอรี่

อย่างไรก็ตาม หน้าที่บอร์ดอีวีใหม่มีหน้าที่กำหนดทิศทางและเป้าหมายในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสการสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศ และส่งเสริมการจ้างงานในอุตสาหกรรมสีเขียว ตลอดจนยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน , พิจารณาแผนงานและโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเพื่อเสนอครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ 

,บูรณาการและติดตามประเมินผลการดำเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าตามแผนงานและกรอบแนวทางที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้นโยบายการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และรายงานผลการดำเนินงานต่อครม.