เอกชนรับลูก ขยายอายุเกษียณ ปฏิรูประบบออม–บำนาญ-สวัสดิการทั้งระบบ

06 พ.ย. 2568 | 21:17 น.

รัฐ–นักวิชาการ–เอกชนเห็นพ้อง “ขยายอายุเกษียณ” ไม่เพียงพอ กับการแก้ปัญหาสังคมผู้สูงวัย หวั่นกระทบโครงสร้างตลาดแรงงาน แนะปฏิรูประบบออม-บำนาญ สิทธิและสวัสดิการทั้งระบบ สร้างตลาดแรงงานสูงวัยแบบสมัครใจ ยืดหยุ่น เฉพาะตำแหน่ง ส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนส่วนใหญ่สนับสนุนการขยายอายุเกษียณ แต่เน้นความยืดหยุ่นและพิจารณาตามความเหมาะสมของตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ ไม่ใช่การปรับใช้แบบครอบคลุมทั้งหมด
  • แนวคิดนี้มีขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาแรงงานหดตัวและสังคมสูงวัย แต่มีความกังวลว่าจะกระทบต่อโอกาสของคนรุ่นใหม่และเพิ่มภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการ
  • การขยายอายุเกษียณเป็นเพียงมาตรการหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้างระบบบำนาญ การออม และสวัสดิการทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ผู้สูงอายุในระยะยาว

แนวคิด “ขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 เป็น 65 ปี” กลับมาอยู่ในสมการนโยบายใหญ่ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อรับมือแรงงานหดตัวและโครงสร้างประชากรที่กำลังพาประเทศเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในปี 2574 โดยประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะคิดเป็นราว 28% ของประชากรทั้งหมด การนำเสนอโรดแมปของสำนักงาน ก.พ. ร่วมกรมบัญชีกลางและสภาพัฒน์ ) ที่ศึกษาโมเดลเบื้องต้นภายใต้แนวคิด “ค่อยเป็นค่อยไป” ในช่วงระยะเวลา 10 ปีจึงถูกพูดถึง และส่งสัญญาณไปถึงภาคเอกชน ว่าควรต้องขยายอายุการทำงานของบุคลากรด้วยหรือไม่

TDRI ต้องปฏิรูปบำนาญ–ออมชาติ

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปีมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหลัก 2 ส่วนที่ทำให้เรื่องนี้จำเป็นต้องดำเนินการ ได้แก่ ประชากรวัยแรงงานของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ผู้สูงอายุที่มีความพร้อมในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ โดยเฉพาะในด้านการเงิน มีสัดส่วนเพียงราว 10–20% ของผู้สูงอายุทั้งหมด

“การขยายอายุเพียงอย่างเดียวไม่รองรับปัญหาสังคมสูงวัยทั้งหมด แต่เป็นการยืดเวลาวิกฤติออกไป เพื่อให้ทุกภาคส่วนปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทั้งระบบบำนาญ ระบบสิทธิและสวัสดิการ และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม คนไทยจำนวนมากยังวางแผนการเงินไม่ได้จริง จึงต้องเร่งขับเคลื่อนการออมและการวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง”

ทั้งนี้ต้องการนำเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ การออมผ่านหวยเกษียณ และเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมกับฐานะทางการคลัง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (financial literacy) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ยืดหยุ่น–เฉพาะตำแหน่ง” คือคำตอบ

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และ นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ระบุว่า การขยายอายุเกษียณในภาคเอกชนขึ้นกับลักษณะงาน แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องต่ออายุ เป็นผู้ที่ต้องใช้พลังงานสูงหรือเน้นความคล่องตัว เช่น ควบคุมคุณภาพ (QC) ที่ต้องยืนทั้งวัน หรืองานที่ตัวบุคคลไม่ใช่ปัจจัยความสำเร็จ และกลุ่มที่ควรต่ออายุ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ ประสบการณ์/ความน่าเชื่อถือ/เครือข่ายผู้บริหาร ซึ่งตัวบุคคลเป็น “สัญลักษณ์” หรือ “จุดขาย” ขององค์กร

เอกชนรับลูก ขยายอายุเกษียณ ปฏิรูประบบออม–บำนาญ-สวัสดิการทั้งระบบ

“ปัจจุบันมาตรฐานโดยรวมอายุเกษียณของประเทศไทยคือ 60 ปี แม้เอกชนบางแห่งจะใช้ 55 ปี แต่การปรับอายุเกษียณควรเป็นสเต็ปควบคู่ไปกับการพิจารณาด้านประสิทธิภาพของการทำงาน ซึ่งเทคโนโลยีด้านสุขภาพในปัจจุบันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ คนทำงานต้องมี Lifespan และ Healthspan ที่แข็งแรงด้วย ทั้งนี้ การขยายอายุการเกษียณควรมีไว้เพื่อเป็นความยืดหยุ่นในทางกฎหมาย การปฏิบัติอาจอยู่ในลักษณะกึ่งๆ ภาคสมัครใจ เพราะจะดีมากกับบางองค์กร แต่อาจไม่ดีกับบางองค์กร”

แนะสร้างสมดุลระบบแรงงาน

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เห็นว่าการขยายอายุเป็น “ดาบสองคม” ข้อดีคือได้แรงงานมีประสบการณ์และลดภาระบำนาญรัฐ แต่หากไม่ออกแบบรองรับ อาจเกิด “การเบียดตำแหน่ง” ระหว่างคนสูงวัยกับคนรุ่นใหม่ และเพิ่มต้นทุนค่าจ้างของเอสเอ็มอี

“สิ่งที่ภาครัฐควรทำควบคู่คือการวางยุทธศาสตร์พัฒนาทักษะกำลังคนทุกช่วงวัย เพื่อให้ “แรงงานสูงวัยไม่เป็น Deadwood” แต่กลายเป็นแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจไทย ผ่าน Part-time Senior Workforce, Co-payment รัฐ–เอกชน, Upskill–Reskill และ Succession Plan ส่งต่อความรู้”

อสังหาฯหนุนขยายเกษียณเฉพาะตำแหน่ง

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เห็นด้วยกับการขยายเกษียณ เฉพาะตำแหน่งที่อาศัยประสบการณ์ และให้เป็น ระบบสมัครใจ โดยมองว่าหากผู้สูงอายุยังมีรายได้จากการทำงาน จะหนุนกำลังซื้อและดีมานด์ที่อยู่อาศัยเฉพาะทาง เช่น บ้านชั้นเดียว บ้านออกแบบเพื่อผู้สูงอายุ บ้าน Wellness แต่ต้องรักษาสมดุลโอกาสของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้พลังและทักษะเทคโนโลยี

ขณะที่นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ในเครือ พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ระบุว่า ในบริบทไทยที่ เงินออมต่ำ ขณะที่ ค่าใช้จ่ายสุขภาพสูง การเกษียณเร็วทำให้คุณภาพชีวิตเปราะบาง การเปิดทางทำงานต่อจึงเป็น “กันชน” สำคัญ โดยเฉพาะในภาคก่อสร้างที่กำลังประยุกต์ใช้เทคโนโลยีลดพึ่งแรงงานค

เอกชนรับลูก ขยายอายุเกษียณ ปฏิรูประบบออม–บำนาญ-สวัสดิการทั้งระบบ

คาดอุตฯอิเล็กทรอนิกส์ไม่ขยายตามรัฐ

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำหนดอายุเกษียณ 55–60 ปี โดยส่วนใหญ่ 60 ปี มีการจ้างงานราว 800,000 คน (หากรวมซัพพลายเชนเกิน 1 ล้านคน) โดยแรงงาน Outsource เพียง 10–20% หากรัฐขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี เอกชนส่วนใหญ่จะไม่ปรับตาม เพื่อคงความยืดหยุ่นและเปิดทางคนรุ่นใหม่ ขณะที่บริษัทจำนวนมากเลือก สัญญาจ้างรายปี สำหรับบุคลากรศักยภาพสูง ซึ่งเป็น “Win–Win” ทั้งสองฝ่าย

“การขยายอายุในราชการเป็นเรื่องดีต่อประเทศ เพราะช่วยให้ผู้สูงอายุยังมีรายได้และงานทำ แต่ภาคเอกชนต้องบริหารตามธรรมชาติธุรกิจและการแข่งขัน”

ขณะที่นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวคิดภาครัฐต่ออายุราชการออกไปนั้นมองว่าไม่ควรต่อในทุกตำแหน่ง  แต่เลือกเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษา  ช่วยกำหนดแผนยุทธศาสตร์สำคัญ  ไม่ใช่ทำหน้าที่ปฏิบัติการ  ซึ่งงานซ้ำๆ พวกนี้ปัจจุบันเทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยได้หรือไม่ใช่เข้ามาทำหน้าที่ตัดสินใจ เพราะคนอายุ 60 ปีขึ้นไป มีความกังวลหรือกลัว ว่าตัดสินใจอะไรไปแล้วผิดข้อกฎหมาย โดยต้องยอมรับว่าไทยมีความสลับซ้ำซ้อนโดยมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคหรือระเบียบอยู่เป็นจำนวนมาก

“วันนี้โลกเปลี่ยนไปเร็ว  ภาคเอกชนพยายามลดอายุพนักงานลงมา  และนำเทคโนโลยีเข้าช่วยมากขึ้น เช่น หัวเว่ย กำหนดอายุเกษียณพนักงานไว้ 45 ปี  บางบริษัทกำหนดไว้ 55 ปี”     

กระทบเด็กจบใหม่ตกงาน

นายสรเทพ สตีฟ ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล (ประเทศไทย) มองว่าแนวคิดขยายอายุเกษียณ “ย้อนแย้ง” กับสภาพตลาดแรงงานที่เด็กจบใหม่ตกงานเพิ่ม และไทยยังใช้งานแรงงานวัยทำงานไม่เต็มศักยภาพ เอกชนจึงต้องการ ความยืดหยุ่นเชิงสัญญา มากกว่าการยืดอายุโดยกฎ

“เสนอให้รัฐตั้ง ศูนย์กลางแรงงานผู้สูงอายุ ภายใต้กระทรวงแรงงาน สำหรับธุรกิจบริการที่ต้องการคนใจเย็น ละเอียด มีประสบการณ์—ทั้งหมดควรอยู่บนฐาน สมัครใจ”

ขณะที่นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ไม่เห็นด้วยกับการขยายเกษียณข้าราชการทั่วกระดาน โดยให้เหตุผล 3 ประการ คือ ขวางคนรุ่นใหม่ ขึ้นมาทดแทน, เสี่ยง รักษาเก้าอี้–ยึดโยงอำนาจ ทำให้ประเทศเสียโอกาสพัฒนา และ งบเงินเดือนรัฐอาจเพิ่ม ขัดกับแนวโน้มประชากรลดลงและเทคโนโลยีทดแทนแรงงาน

“ควรขยายเฉพาะตำแหน่งความสามารถเฉพาะทางที่ขาดแคลน และย้ายบทบาทไปเป็น “พี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อม ประเมินทบทวนทุก 5 ปี ให้สอดรับบริบทเทคโนโลยีและโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนเร็ว”

จ้างสูงวัยลดภาษี 2 เท่า

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดี กรมสรรพากรกล่าวว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างงานผู้สูงอายุเป็นมาตรการถาวร หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดก็สามารถใช้สิทธิในการหักรายจ่ายได้ถึง 2 เท่าของจำนวนที่ได้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุไปจริง แต่ไม่เกินจำนวน 15,000 บาทต่อคน โดยสามารถใช้สิทธิได้ไม่จำกัดจำนวน

อย่างไรก็ตามจากกรณีที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้รายรับไม่สมดุลกับรายจ่ายในอนาคต คาดว่าในปี 2597 เงินสำรองกองทุนจะลดลงเป็นศูนย์ โดยการประมาณการตามสถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า 1. เงินสมทบเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำปีทั้งหมดไปจนถึงปี 2578 2. ตั้งแต่ปี 2579 เป็นต้นไป ต้องใช้ผลตอบแทนการลงทุนรวมกับเงินสมทบ เพื่อให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำปี

ทั้งนี้เงินสำรองยังคงมีกำรเติบโต แต่เป็นไปในอัตราที่ช้าลง 3. นับแต่ปี 2585 เป็นต้นไป รายรับรวม (เงินสมทบ ผลตอบแทนจากการลงทุน และรายได้อื่นๆ) ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำปี และเงินสำรองกองทุนเริ่มลดน้อยลง 4. ในช่วงปี 2597 เงินสำรองกองทุนจะลดลงเป็นศูนย์ 5. นับแต่ปี 2597 จะต้องเก็บเงินสมทบ เพื่อให้เพียงพอค่าใช้จ่ายในปีนั้น ตามอัตราเงินสมทบต้นทุน ซึ่งมีอัตรา 20.3 % ในปี 2597

ดังนั้นหนึ่งในแนวทางของแผนกู้วิกฤตกองทุนสังคมล้มละลาย ที่สำนักงานประกันสังคมมองไว้ คือ การขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ เพราะเมื่อพิจารณาถึงอายุขัยในประเทศไทยและแนวทางปฏิบัติของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว พบว่า อายุเกษียณที่ 55 ปี ถือว่าต่ำเป็นพิเศษ จึงมีแนวคิดที่จะขยายออกไปเป็น 65 ปี ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีการหยิบยกขึ้นหารือในการประชุม SSO Sustainable 2024 ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการที่จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2567

โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบำนาญระดับโลก และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางรองรับสังคมสูงวัย ทั้งนี้ หลายประเทศได้ปรับอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี เช่น สวีเดน ได้ขยายอายุเกษียณเป็น 67 ปี อย่างไรก็ตามการวางแผนและเปลี่ยนผ่านการเพิ่มอายุเกิดสิทธิรับบำนาญควรจัดทำขึ้นเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว