ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI ซึ่งเป็นผู้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจผู้สูงวัย ได้แสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ต่อแนวคิดของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องการขยายอายุเกษียณของข้าราชการจาก 60 ไปเป็น 65 ปี ผ่านรายการ "เข้าเรื่อง" ของฐานเศรษฐกิจว่า การขยายอายุเกษียณควรพุ่งเป้าไปที่ ภาคเอกชนมากกว่าภาคราชการ
เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ยังเผชิญกับปัญหา "แก่ก่อนรวย" และขาดแคลนเงินออมหลังเกษียณอย่างรุนแรง ซึ่งทีมวิจัยของตนกำลังผลักดันประเด็นสังคมสูงวัยนี้เข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 14
ดร.นณริฏ อธิบายว่า กระแสการขยายอายุเกษียณเป็นผลมาจาก “สังคมสูงวัย”(Aging Society) ทั่วโลก เนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้นมาก ในประเทศไทยเฉลี่ย 75 ปีขึ้นไป และบางประเทศอาจถึง 100 ปี ดังนั้นหากเกษียณที่ 60 แต่ต้องอยู่ต่ออีก 30-40 ปี จะเกิดความว่างเปล่าเยอะ
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อายุเกษียณอยู่ที่ 65 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 67 หรือ 73 ปีเช่นในเยอรมัน นั้น ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีเงินออมที่พร้อมดูแลตัวเอง และแรงขับเคลื่อนในการขยายอายุมาจากเหตุผลด้านความยั่งยืนของ “กองทุนสวัสดิการของรัฐ”
แต่สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา ความท้าทายที่สำคัญคือ "เราแก่ก่อนรวย" หากถามคนอายุ 60 ปี ว่ามีเงินพอใช้ชีวิตสบายหลังเกษียณหรือไม่ พบว่าร้อยละ 60 ถึงร้อยละ 80 จะตอบว่าไม่มี*ซึ่งโดยหลักการแล้ว ควรมีเงินออมประมาณ 3-4 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ดังนั้นความจำเป็นในการทำงานต่อไปถึง 65-70 ปี จึงเป็นเรื่องธรรมชาติ
ดร.นณริฏ เน้นย้ำว่า หลักการของการขยายอายุเกษียณคือเพื่อให้คนที่มีเงินไม่พอ ให้ยังมีรายได้แล้วเขาจะได้ไม่ลำบากตอนปลายชีวิต แต่เมื่อพิจารณาข้าราชการแล้วมองว่าข้าราชการไม่ได้มีประเด็นในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังพบว่า ข้าราชการมีสวัสดิการดีที่สุด ได้รับค่าตอบแทนรายเดือนที่ดีที่สุด
ข้าราชการมีสวัสดิการด้านสุขภาพที่ดีที่สุด และผลตอบแทนของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก็ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบการออมอื่น ในส่วนกองทุนสุขภาพของรัฐได้รับการการันตีจากรัฐบาลว่าไม่มีทางล้ม ส่วนเงินสวัสดิการก็เปลี่ยนเป็นระบบถังใครถังมัน ทำให้โครงสร้างไม่มีปัญหาความไม่ยั่งยืนเหมือนกองทุนอื่น
การขยายอายุเกษียณอาจทำให้เกิดปัญหา "ผีเฝ้าศาล" คือข้าราชการระดับสูงอยู่ในตำแหน่งเป็น 10 ปี ทำให้คนข้างล่างไม่มีโอกาสก้าวหน้าทางตำแหน่ง ทำให้ไร้แรงจูงใจในการสร้างผลงานและการพัฒนาตนเอง
รายจ่ายของภาครัฐก้อนใหญ่เป็นเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการ ดังนั้นการขยายอายุเกษียณ จึงมีผลต่อการรับคนใหม่เข้ามา และขัดแย้งกับหลักการควบคุมการคลังที่ต้องทำให้รัฐบาลเล็กลง (Small Government)
โครงสร้างข้าราชการปัจจุบันมีปัญหา เช่น ผอ. กอง มีลูกน้องเพียง 2 คน การมีแต่คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งถูกมองว่าเป็นระดับใช้สมอง และไม่ค่อยมีแรงในองค์กรจะทำให้ขาดคนทำหน้างาน หรือคนรุ่นใหม่เข้าไปผสมผสานและขับเคลื่อนงาน
หากยังคงเน้นการพัฒนาโดยใช้คนเป็นหลัก ในขณะที่โลกใช้ Digital และ AI เข้ามาช่วย การขยายคนออกไปจะทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืน การใช้คนมากเกินไปยังทำให้เกิดกระบวนการตัดสินใจโดยมนุษย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดการคอร์รัปชันได้
ดร.นณริฏ ฐ์ ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลมีความพยายามในการจ้างงานผู้สูงอายุ 60-65 ปี ผ่านการคุยกับธุรกิจรายใหญ่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ แต่พบว่ามีผู้สูงอายุที่มีงานทำเพียง 5 ล้านคน จาก 13 ล้านคน และในกลุ่ม 8 ล้านคนที่ไม่มีงานทำ มีศักยภาพที่ทำงานได้ 200,000 คน แต่โครงการของรัฐดึงกลับเข้ามาได้เพียง 6,000 คนเท่านั้น
ดร.นณริฏ ฐ์ แนะนำให้รัฐบาลใช้หลักการประเมินนโยบาย 4 ส่วน ตามหลักธรรม คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในการพิจารณาแนวคิดการขยายอายุเกษียณ
1. ทุกข์ (ปัญหา) รัฐต้องระบุให้ชัดเจนว่า “ความทุกข์” ของการขยายอายุเกษียณข้าราชการแบบทุกตำแหน่งคืออะไร เพราะข้าราชการที่มีทักษะสูงที่จำเป็นก็ได้ขยายไปหมดแล้ว
2. สมุทัย (สาเหตุ) ต้องระบุว่าความทุกข์นั้นนำไปสู่ผลเสียใด.
3. มรรค (ทางออก) กำหนดวิธีการขยายอายุ 60-65 ปี และกฎหมายที่ใช้ให้ชัดเจน
4. นิโรธ (ผลลัพธ์) ระบุว่าเมื่อทำไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น