MOU แรร์เอิร์ธเพิ่มความเสี่ยงไทยเอี่ยวสงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ

03 พ.ย. 2568 | 03:11 น.

อนุสรณ์ชี้ MOU แร่แรร์เอิร์ธเพิ่มความเสี่ยงไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ห่วงกระทบสิ่งแวดล้อม

KEY

POINTS

  • นักวิชาการชี้ว่าการลงนาม MOU แร่หายากกับสหรัฐฯ จะเพิ่มความเสี่ยงให้ไทยเข้าไปพัวพันกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยตรง
  • ไทยอาจเสียเปรียบจากการขาดเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเปิดช่องให้ทุนข้ามชาติเข้ามาครอบงำ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับอาจไม่คุ้มกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
  • ข้อเสนอแนะคือไทยควรวางตัวเป็นกลาง รักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ และต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรับมือผลกระทบเชิงลบก่อนดำเนินการ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลไทยไปทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาหรือทำ MoU แร่หายากจะเพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา อาเซียน

รวมทั้งไทยจะกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของมหาอำนาจ หากไทยเปิดรับการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตแร่หายากตาม MoU จะทำให้ไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐฯซึ่งจะแข่งขันโดยตรงกับจีนที่มีอำนาจผูกขาดอยู่ในโครงสร้างตลาดขณะนี้ จีนครองส่วนแบ่งตลาด 86% ของแปรรูปแร่หายาก 

นอกจากนี้ การที่ไทยขาดความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการสำรวจ สกัด คัดแยกและผลิต ก็จะเป็นเปิดช่องทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทางด้านนี้และสหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบงำอุตสาหกรรมแร่หายากและเศรษฐกิจไทย ความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะเปิดโอกาสให้มีการตักตวงส่วนเกินทางเศรษฐกิจโดยบรรษัทข้ามชาติผ่านระบบการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้ โครงการลงทุนเหมืองแร่หายากจะเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจะไม่คุ้มกับความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนกากพิษจากกระบวนการผลิตจะถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินไทย 

ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยแนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเตรียมการสำหรับการรองรับการลงทุนให้ดีพอ  

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ไทยในฐานะผู้ผลิตอันดับ 4 ของโลกจะกลายเป็น หมากสำคัญในการเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไทยไม่ควรเป็นเพียงหมาก และผลประโยชน์จากการลงทุนจะเกิดต่อสาธารณชนโดยรวม ไทยต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายที่เหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมและมีแนวทางชัดเจนในการรองรับผลกระทบด้านลบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้ง การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ วางตัวเป็นกลาง และ หลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสงครามทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีน

นักวิชาการชี้ MOU แรร์เอิร์ธเพิ่มความเสี่ยงไทยเอี่ยวสงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์น้อยมากจากการเปิดให้มีการสำรวจและผลิตแร่หายากเพิ่มเติม หากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง ไม่สามารถมีกระบวนการและกลไกในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเรียนรู้การสำรวจ การแปรรูป การผลิต 

ผลกระทบด้านบวกจากการทำ MoU นั้นประกอบไปด้วย ผลประโยชน์จากการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมสำรวจ แปรรูปแร่ เพิ่มรายได้ภาครัฐ เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่วนผลกระทบด้านลบ อาจเกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีหลายมิติ การทำเหมืองแร่อาจก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่า พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตรกรรมอาจเปลี่ยนสภาพไป อาจเกิดมลพิษทางอากาศและทางน้ำ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตประชาชนได้ ระบบการกำกับดูแลและระบบกฎหมายของไทยยังมีช่องโหว่และอาจสร้างปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและสิ่งแวดล้อมในวงกว้างได้  นอกจากนี้การกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยี ต้องให้มีการใช้เทคโนโลยีสำรวจและผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 

สำหรับข้อน่ากังวลต่อ MoU นี้ คือ ไทยค่อนข้างเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิการสำรวจและการลงทุน เงื่อนไขการยกเลิก รวมทั้ง ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมและทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีวิธีการจัดการกากกัมมนตภาพรังสีที่ชัดเจน หากกากแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดินต่างๆจะเกิดผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้ว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลกและมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยมีการนำเข้าหินจากเมียนมาและออสเตรเลีย แปรรูปแล้วส่งออก เป็นทางผ่าน ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมากนัก 

นักวิชาการชี้ MOU แรร์เอิร์ธเพิ่มความเสี่ยงไทยเอี่ยวสงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ไทยต้องมีการลงทุนทางด้านนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไทยขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ล่าสุดอุปสงค์ของแรงงานทักษะสูงเองชะลอตัวลงจากภาคการลงทุนชะลอตัวลง ภาคการลงทุนเติบโตช้าลงก็เป็นผลจากการที่เราขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ผลิตภาพโดยรวมจึงต่ำทำให้ขาดศักยภาพในการลงทุน ปัญหาจึงวนเวียนอยู่เช่นนี้ รัฐจึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้ชัดเจนและสร้างกลไกให้เกิดแรงจูงใจให้เอกชนไทยลงทุนพัฒนานวัตกรรม

การที่รัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลต่างชาติต้องผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและกลไกรัฐสภาก่อน ส่วนการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MoU เรื่องแร่หายากนั้น แม้ยังไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นรัฐบาลจึงต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนก่อนการลงนาม การไปทำข้อตกลงใดๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ขอเสนอให้ใช้โมเดลพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย เป็นโมเดลการพัฒนาที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เอาคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา การพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตยจะช่วยสนองความจำเป็นของปัจจุบันโดยไม่ต้องเบียดบังความจำเป็นของอนุชนรุ่นหลัง ภาครัฐจะเปิดรับภาคประชาสังคมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย มีการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่างๆตามหลักการประชาธิปไตย