'ศุภจี' ชงครม. 3 ยุทธศาสตร์ 'Quick Big Win' พาณิชย์ 3 พ.ย. นี้

01 พ.ย. 2568 | 01:09 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ย. 2568 | 01:23 น.

'ศุภจี' รมว.พาณิชย์ เตรียมชง “Quick Big Win” ครม. 3 พ.ย.นี้ เดินหน้า 7 นโยบายภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก ดูแลภาคเกษตร เปิดตลาดใหม่ผ่าน FTA และลดค่าครองชีพ

KEY

POINTS

  • นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เตรียมเสนอ 3 ยุทธศาสตร์ "Quick Big Win" ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 3 พ.ย. เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  • ยุทธศาสตร์หลักครอบคลุมการดูแลภาคเกษตรและ SMEs ผ่านการรักษาเสถียรภาพราคาพืชผลและสนับสนุนสินเชื่อ, การสร้างและขยายตลาดใหม่โดยเร่งเจรจา FTA และเจาะตลาดศักยภาพ
  • อีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญคือการลดค่าครองชีพประชาชน ผ่านโครงการธงฟ้า โครงการยาราคาโปร่งใส "สุขกาย สบายกระเป๋า" และการส่งเสริมสินค้าชุมชน

ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.30 น. จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะมีเสนอโครงการ Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์

ภายหลังจากที่ได้มีการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ได้มอบนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว 

โดยได้มอบ 7 นโยบาย 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า “การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก ร่วมมือ-โปร่งใส-ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

สำหรับ 3 ยุทธศาสตร์หลักของกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ดูแลภาคเกษตรและเสริมศักยภาพ SMEs โดยช่วยเสริมรายได้ให้ผู้ประกอบการผ่านโครงการและมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนด้านสินเชื่อและแหล่งเงินทุน การเพิ่มช่องทางการค้าขาย และการพัฒนาศักยภาพธุรกิจผ่านการอบรม 

โดยล่าสุดได้กรมพัฒนาธุรกิจจับมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) มอบสินเชื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ ด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 3% คงที่ 3 ปี 

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าส่งเสริมให้ชุมชนและผู้ประกอบการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อ โดยเฉพาะสินค้า GI จะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า และเพิ่มรายได้เกษตร

รวมถึงการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรเข้าไปดูแลราคาผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะราคาข้าว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข โดยได้ออกโครงการลดต้นทุนเกษตรกร เช่น โครงการธงเขียว ลดราคาปุ๋ย พร้อมดูแลสมดุลอุปสงค์–อุปทาน (Demand–Supply) เพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกิน และช่วยให้ราคาข้าวอยู่ในระดับเหมาะสม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างและขยายตลาดใหม่ 

ปัจจุบันไทยมี FTA แล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ โดยกรมเจรจาการค้าต่างประเทศ มีแผนเร่งเจรจา FTA ให้สำเร็จภายในปี 2568 2 ฉบับ ได้แก่ FTA กับสหภาพยุโรป (EU) และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ และแผนการผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมี FTA อาเซียน–แคนาดา ซึ่งมีแผนเจรจาให้เสร็จภายในปี 2569  

อีกทั้งยังมีแผนเร่งขยายตลาดวางแผนจัด Trade Mission เจาะตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา

นอกจากนี้เร่งเจรจาภาษีสหรัฐ ซึ่งสหรัฐประกาศอัตราภาษีตอบโต้จากสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น 19% ตอนนี้อยู่ขั้นตอนการคุยรายละเอียดด้านเทคนิค และข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน (ART) โดยเฉพาะกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (ROO) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ลดค่าครองชีพประชาชน 

โดยทางกรมการค้าภายใน ได้มีการจัดทำมหกรรมธงฟ้า เพื่อช่วยประชาชนลดค่าครองชีพทั้งหมด 15 ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม- ธันวาคม 2568 งบประมาณ 48 ล้าน ลดค่าครองชีพ 55 ล้าน และสร้างเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

โครงการ ‘สุขกาย สบายกระเป๋า’ เปิดความร่วมมือใหม่กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสด้านราคายา โดยประชาชนสามารถเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ในราคามาตรฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพด้านยาได้กว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี 

รวมถึงผลักดันสินค้าชุมชนร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยและพาณิชย์จังหวัด เพื่อนำสินค้าชายแดนและสินค้าชุมชนเข้าสู่ตลาดของขวัญปีใหม่ผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 จะมีการแถลงรายละเอียดโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วม MOU ที่ทำเนียบรัฐบาล