ส.อ.ท.เสนอ ธปท.ชะลอจัดหนี้มีปัญหา-ออกซอฟท์โลนรับมือภาษีสหรัฐฯ

21 ต.ค. 2568 | 08:05 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 08:10 น.

ส.อ.ท.เสนอ ธปท.ชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา ปรับโครงการสินเชื่อ ออกซอฟท์โลนเสริมสภาพคล่องรับมือผลกระทบภาษีสหรัฐฯ

KEY

POINTS

  • ส.อ.ท. เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
  • เสนอให้ชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหาสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และปรับโครงสร้างสินเชื่อ
  • เสนอให้ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) เพื่อเสริมสภาพคล่อง ช่วยธุรกิจปรับตัว ปรับห่วงโซ่อุปทาน และหาตลาดใหม่
  • นอกจากนี้ยังเสนอให้ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand)

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และ สงครามการค้ากับ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือ การใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม หล่อโลหะเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ด้านผลกระทบต่อ GDP นั้น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินผลกระทบต่อ GDP ไทยและประเทศคู่แข่งว่า กรณีแข่งขันไม่ได้ GDP ไทยอาจจะอยู่ที่ -0.77% การส่งออกไปสหรัฐฯ -15.4% สูญเสียตลาดส่งออกโลก -0.9% ทำให้การส่งออกทั้งหมด -2.6% 

กรณีแข่งขันไม่ได้ (กรณีที่ 2) GDP ไทยอาจจะอยู่ที่ -0.42% การส่งออกไปสหรัฐฯ -13.9% ทำให้การส่งออกทั้งหมด -1.37% และกรณีแข่งขันได้ GDP ไทยจะอยู่ที่ -0.01% การส่งออกไปสหรัฐฯ -12.53% รวมทั้งสามารถชดเชยได้จากการขยายตลาดส่งออกในภูมิภาคอื่น

ส.อ.ท.เสนอธปท.ชะลอจัดหนี้มีปัญหา-ออกซอฟท์โลนรับมือภาษีสหรัฐฯ

นายนาวา กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ว่า ภาครัฐควรสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ และการเปิดตลาดใหม่ได้ 

โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ

อีกทั้งยังมีแนวทางในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand : MiT) อย่างจริงจัง โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ “ซื้อของไทยเพื่อคนไทย” และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดทำมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT เพื่อเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในประเทศ