ส.อ.ท. แนะใช้คนละครึ่งคู่สินค้า MIT กระตุ้นเศรษฐกิจกันเงินไหลออกนอกระบบ

21 ต.ค. 2568 | 06:18 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 06:18 น.

ส.อ.ท. แนะภาครัฐใช้คนละครึ่งคู่สินค้า MIT กระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ กันเงินรั่วไหลออกนอกระบบ

KEY

POINTS

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอให้นำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ
  • แนะให้ใช้มาตรการดังกล่าวควบคู่กับการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand – MIT)
  • มีเป้าหมายเพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ ลดการรั่วไหลออกนอกระบบ และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่งพลัส ว่า ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศโดยตรง จะเป็นแรงขับสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อและกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยเฉพาะร้านค้าชุมชนและผู้ค้ารายย่อยที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้น มองว่าโครงการนี้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากในช่วงที่ต้นทุนสูงและภาษีทยอยปรับขึ้น

ทั้งนี้ การกลับมาของมาตรการดังกล่าว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคการค้าและบริการเห็นช่องทางสร้างรายได้มากขึ้น โดยเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมให้ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand – MIT) ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศมากที่สุด ลดการรั่วไหลออกนอกระบบ

สำหรับข้อดีและผลเชิงบวกที่เป็นไปได้ ประกอบด้วย

  • กระตุ้นกำลังซื้อในทันที เมื่อนโยบายให้ประชาชนจ่ายร่วมกับรัฐ (ส่วนลด / เครดิต) จะลดอุปสรรคในการจับจ่าย เช่น กลุ่มรายได้น้อยหรือปานกลางอาจตัดสินใจซื้อของมากขึ้น
  • ช่วยให้เม็ดเงินลงถึงร้านค้า / SME ท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจที่อยู่ในชุมชน และที่ติดกับประชาชน ซึ่งมักถูกมองข้ามในนโยบายขนาดใหญ่

ส.อ.ท. แนะใช้คนละครึ่งคู่สินค้า MIT กระตุ้นเศรษฐกิจกันเงินไหลออกนอกระบบ

  • มีผลสร้างความเชื่อมั่น โดยประชาชนรับรู้ว่ารัฐใส่ใจและเข้าถึงชีวิตประจำวัน อาจช่วยหนุนการใช้จ่ายที่อยู่อาศัย บริโภคภายใน
  • ช่วยลดช่องว่างทางรายได้ในระดับพื้นที่ กระจายเงินสู่หลายจังหวัด หลายชุมชน

ส่วนข้อจำกัด และสิ่งที่ต้องระวัง ประกอบด้วย

  • การกระตุ้นอาจเป็นระยะสั้น เมื่อสิ้นโครงการ คนอาจลดการใช้จ่าย
  • หากงบประมาณไม่สมบูรณ์หรือกลุ่มเป้าหมายไม่ครอบคลุม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำ
  • ร้านค้า / SME บางแห่งอาจไม่มีศักยภาพรองรับ เช่น เรื่องระบบรับจ่ายดิจิทัล ค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยี
  • หากราคาสินค้าถูกกดให้สูงขึ้นโดยผู้ค้าปรับตัว อาจลดประสิทธิผลของการช่วยเหลือ
  • อาจกดดันงบการคลังระยะยาว หากใช้งบประมาณสูงเกินและขาดการวางแผนเชิงโครงสร้าง

ด้านคำแนะนำให้รัฐบาลพลิกโครงการให้เข้มแข็งขึ้น ประกอบด้วย

  • ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางจริงจัง
  • จับคู่กับมาตรการเสริมศักยภาพ SME เช่น ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ ฝึกอบรม ปรับระบบดิจิทัล
  • ให้ร้านค้า / SME สามารถเข้าถึงระบบรับจ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) ได้อย่างสะดวก
  • ควบคุมและตรวจสอบไม่ให้มีการตั้งราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเกินควร
  • วางแผนต่อเนื่อง (นโยบายต่อเนื่อง) — เมื่อโครงการสิ้นสุด ต้องมีแผนต่อยอด เช่น โครงการซื้อกลุ่มประชาชนรายได้ต่ำ โครงการช้อปช่วยชาติ หรือบัตรสวัสดิการ
  • ผสมกับนโยบายโครงสร้าง เช่น ปรับภาษี ลดภาระต้นทุนธุรกิจ ให้ SME อยู่ได้แม้สภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ

“หากดำเนินให้ดี โครงการนี้มีศักยภาพเป็นตัวจุดชนวนให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับรากหญ้าได้ แต่ต้องอยู่บนฐานนโยบายบูรณาการและโครงสร้างที่เข้มแข็ง”