KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/68 ว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเปรียบเสมือนรถติดหล่ม เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข ประกอบด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่น คือ ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการเกษตร และการเมืองภายในประเทศ
ทั้งนี้ จึงคาดว่าไตรมาส 4 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) ไทยอาจโตแค่ 0.3% โดยส่งผลให้ทั้งปี 68 GDP โตได้เพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) เอสเอ็มอี (SMEs) ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2%
ขณะเดียวกัน GDP ปี 69 ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.6% เท่านั้น เพราะยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 68 ปัจจัยลบมาตากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การลงทุนยังมีการขยายตัว ซึ่งประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับรวมถึงน้ำ ไฟฟ้า บุคคลากร เพราะจะเกิดการย้ายฐานเข้ามาลงทุนมากขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมคลาวด์ ,PCB ,ดาต้าเซ็นเตอร์ ,ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ,อาหาร ,BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปี 69 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น
“เอกชนต้องการให้ทุกพรรคที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้ นำเรื่องที่เสนอไปศึกษาให้มีแนวทางออกมาให้ตรงโจทย์ให้มาก อย่างการนำนโยบายที่เป็นประชานิยมมากจนเกินไป ควรนำเรื่องที่เอกชนเสนอเพราะเป็นเรื่องที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริง ควรต้องใช้วิธีการปรึกษากัน ไม่ใช่ช่วยฝ่ายหนึ่งแล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกประเทศปรับตัวหมุนดิ้นแรง ไทยก็เช่นกันต้องดิ้น ตัดสินใจให้เร็ว เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น”