KEY
POINTS
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมโรงประกอบ โรงแบตเตอรี่ และโรงเชื่อมของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (BYD) ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จ. ระยอง ว่า ภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไทยต้องการให้บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่จากจีนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มากขึ้น
แม้ว่าต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าเล็กน้อยจากค่าไฟฟ้า แต่การสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น การจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 400,000 คน จากเดิมกว่า 600,000 คน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ หากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายเซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักประธานกลุ่ม บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ของ BYD ในประเทศไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายหลังเปิดดำเนินการผลิตเดือนกรกฎาคม 2567 มีกำลังการผลิตสะสมแล้วกว่า 55,000 คัน และคาดว่าทั้งปีจะผลิตได้กว่า 40,000 คัน หรือเกือบเต็มศักยภาพการผลิต โดยกำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000–6,000 คัน
โดยปัจจุบันโรงงานมีพนักงานกว่า 5,800 คน โดยเป็นแรงงานไทยถึง 92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 80% และคาดว่าปลายปีนี้จะขยับเป็น 95% ของทั้งหมด โดยในจำนวนนี้มีผู้บริหารประมาณ 40 คน และวิศวกรกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 20 แห่ง รับนักเรียน–นักศึกษาฝึกงานต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน BYD มีสัดส่วนโลคอลคอนเทนต์ (Local Content) อยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นจาก 45% เมื่อปีก่อน โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นกว่า 35 ราย และความร่วมมือในประเทศกว่า 529 ชิ้นส่วน (Part) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการสร้างฐานการผลิตที่มั่นคงในไทย
“แม้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะชะลอตัว แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตดี โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่บริษัทให้ความสำคัญมากขึ้น”
ตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน โดยในจำนวนนี้ 100,000 คัน เป็นรถ EV ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก
นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี และมีแผนเดินสายการผลิต 2 กะ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็นโอกาสทองที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
“ที่ผ่านมารัฐบาลไทยสนับสนุนมาตรการ EV-3.0-3.5 ได้ดีมาก โดยหากรัฐบาลสามารถต่อยอดมาตรการไปสู่ EV4.0 หรือ 4.5 จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งระดับโลก”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าส่งออกรถยนต์รวม 10,000 คัน หลังจากวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สามารถส่งออกแล้ว 959 คัน โดยรวมส่งออกทั้งหมดกว่า 3,300 คัน ไปยังตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยียม รวมถึงเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก
"บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อยกระดับบริการหลังการขาย พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง เทคโนโลยี AI และระบบอัจฉริยะ ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทย"
ในประเด็นข่าวเชิงลบเรื่อง “การเรียกรถคืน” จำนวน 1 แสนคัน ผู้บริหาร BYD ยืนยันว่า เป็นรถรุ่นปี 2015 ที่ผลิตในจีนและไม่ได้จำหน่ายในไทย พร้อมย้ำว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อลูกค้าอย่างสูงสุด