ส.อ.ท.วอนผู้ผลิตรถจีนใช้ชิ้นส่วนในไทยเพิ่มกระตุ้นศก.-จ้างงาน

18 ต.ค. 2568 | 01:28 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2568 | 01:45 น.

ส.อ.ท.ขอให้ผู้ผลิตรถจีนใช้ชิ้นส่วนในไทยเพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและจ้างงานในประเทศ มุ่งสร้างความเชื่อมั่น ภาพลักษณ์ที่ดี

KEY

POINTS

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น
  • การสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังลดลง
  • ปัจจุบันผู้ผลิตอย่าง BYD มีสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) อยู่ที่ 54% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมไทย

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมโรงประกอบ โรงแบตเตอรี่ และโรงเชื่อมของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (BYD) ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จ. ระยอง ว่า ภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไทยต้องการให้บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่จากจีนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มากขึ้น 

แม้ว่าต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าเล็กน้อยจากค่าไฟฟ้า แต่การสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น การจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทย

ทั้งนี้ ปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 400,000 คน จากเดิมกว่า 600,000 คน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ หากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายเซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักประธานกลุ่ม บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ของ BYD ในประเทศไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายหลังเปิดดำเนินการผลิตเดือนกรกฎาคม 2567 มีกำลังการผลิตสะสมแล้วกว่า 55,000 คัน และคาดว่าทั้งปีจะผลิตได้กว่า 40,000 คัน หรือเกือบเต็มศักยภาพการผลิต โดยกำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000–6,000 คัน

ส.อ.ท.วอนผู้ผลิตรถจีนใช้ชิ้นส่วนในไทยเพิ่มกระตุ้นศก.-จ้างงาน

โดยปัจจุบันโรงงานมีพนักงานกว่า 5,800 คน โดยเป็นแรงงานไทยถึง 92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 80% และคาดว่าปลายปีนี้จะขยับเป็น 95% ของทั้งหมด โดยในจำนวนนี้มีผู้บริหารประมาณ 40 คน และวิศวกรกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย 

นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 20 แห่ง รับนักเรียน–นักศึกษาฝึกงานต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน BYD มีสัดส่วนโลคอลคอนเทนต์ (Local Content) อยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นจาก 45% เมื่อปีก่อน โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นกว่า 35 ราย และความร่วมมือในประเทศกว่า 529 ชิ้นส่วน (Part) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการสร้างฐานการผลิตที่มั่นคงในไทย

“แม้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะชะลอตัว แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตดี โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่บริษัทให้ความสำคัญมากขึ้น”

ตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน โดยในจำนวนนี้ 100,000 คัน เป็นรถ EV ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก

นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี และมีแผนเดินสายการผลิต 2 กะ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็นโอกาสทองที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

“ที่ผ่านมารัฐบาลไทยสนับสนุนมาตรการ EV-3.0-3.5 ได้ดีมาก โดยหากรัฐบาลสามารถต่อยอดมาตรการไปสู่ EV4.0 หรือ 4.5 จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งระดับโลก”

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าส่งออกรถยนต์รวม 10,000 คัน หลังจากวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สามารถส่งออกแล้ว 959 คัน โดยรวมส่งออกทั้งหมดกว่า 3,300 คัน ไปยังตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยียม รวมถึงเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

"บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อยกระดับบริการหลังการขาย พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง เทคโนโลยี AI และระบบอัจฉริยะ ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทย"

ในประเด็นข่าวเชิงลบเรื่อง “การเรียกรถคืน” จำนวน 1 แสนคัน ผู้บริหาร BYD ยืนยันว่า เป็นรถรุ่นปี 2015 ที่ผลิตในจีนและไม่ได้จำหน่ายในไทย พร้อมย้ำว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อลูกค้าอย่างสูงสุด