KEY
POINTS
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำรายงานสถานการณ์วิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 โดยพบว่า ภาพรวมระยะยาว สถานการณ์ความยากจน ของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่า จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41
ขณะที่เส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน โดยคนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 45.49 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภาคเกษตรต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สถานการณ์นี้ ชี้ให้เห็นถึงลักษณะพลวัตของความยากจนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและ สังคม รวมถึงผลกระทบจากภัยธรรมชาติ แม้การเพิ่มขึ้นของคนจนในปีนี้อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวแต่ก็เป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สศช. ประเมินว่า สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่มี ความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3.60 ล้านล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 19.58 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยมีการเบิกจ่ายรวม 3.54 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คิดเป็นมูลค่า 827,041 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.35 ของงบประมาณทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลด ความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำและโครงการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดสรรเงิน อุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินอุดหนุนกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ
สะท้อนให้เห็นว่า การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในปัจจุบันอาจยังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างจำกัด ทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำซึ่งฝังรากลึกในระดับโครงสร้างยังไม่สามารถดำเนินการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือนยากจน นโยบายการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาและการขับเคลื่อนนโยบายในระดับพื้นที่บรรลุผล ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ควรพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาในแต่ละมิติอย่างรอบด้าน รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงทาง รายได้ หลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมและเพียงพอ การกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำคัญ ดังนี้
หน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยครอบคลุมทั้งระยะสั้น (เช่น การเข้าถึงบริการและความพึงพอใจของประชาชน) ระยะกลาง (เช่น ผลลัพธ์ ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือสถานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มเป้าหมาย) และระยะยาว (เช่น การยกระดับ คุณภาพชีวิต การลดความเหลื่อมล้ำ และความยั่งยืนของมาตรการ)
ผลจากการประเมินดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐ มี “หลักฐานเชิงประจักษ์” ในการกำหนดทิศทางนโยบายที่เหมาะสม สามารถปรับปรุงหรือยุติโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และโยกย้ายทรัพยากรไปยังโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือให้ผลตอบแทนทางสังคมสูงกว่า อีกทั้งช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นจากสาธารณชนต่อการใช้งบประมาณภาครัฐ และทำให้การใช้ทรัพยากรของรัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ระบบฐานข้อมูลกลางประชาชนที่ครบวงจรและมีเอกภาพจะช่วยแก้ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลแยกตามหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยต้องมีการกำหนดมาตรฐานการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และสร้างกลไกกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรัดกุม
การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้ ภาครัฐประเมินความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด สนับสนุนการจัดสวัสดิการและพัฒนาทุนมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ และการลงทะเบียนหลายรอบเพื่อเข้าถึงโครงการที่หลากหลาย สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงของประชาชนในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อให้บริการภาครัฐสอดคล้องกับความจำเป็นของทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
มาตรการช่วยเหลือครัวเรือนยากจนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรควรเน้นการพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยดำเนินมาตรการหลายด้านร่วมกัน อาทิ
การยกระดับเครื่องมือพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระยะยาวควรให้ความสำคัญกับ
(1) การพัฒนาเครื่องมือประเมินผลทางการศึกษาที่สะท้อนศักยภาพของผู้เรียนอย่างรอบด้าน ทั้งความรู้ตามหลักสูตร การคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
(2) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงผลการประเมินกับข้อมูลนักเรียนและสถานศึกษาในระดับบุคคล เพื่อให้สามารถ ติดตามความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้รายบุคคลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนนำข้อมูลดังกล่าวไปสนับสนุน การวางแผนและปรับปรุงการพัฒนาสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การขยายผลการจัดการศึกษาในรูปแบบเรียนรู้ควบคู่สร้างรายได้ (Learn to Earn) เป็นแนวทางสำคัญในการสนับสนุนเด็กและเยาวชนที่มีเศรษฐฐานะต่ำให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลด ความเสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษา
โดยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ที่มีอยู่แล้วให้เป็นระบบเดียวกันทั่วประเทศและมีเอกภาพ เพื่อรองรับการเทียบโอนผลการเรียนรู้จากหลายแหล่ง ทั้งจากการศึกษาในระบบ การถ่ายโอนระหว่างสถานศึกษา และจากประสบการณ์ทำงานจริง
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมโครงการฝึกอาชีพเชิงวิชาชีพ (Apprenticeship) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน ระยะยาวภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่มุ่งสร้างบุคลากรที่มีฝีมือและเชี่ยวชาญในสายงานใดสายงานหนึ่งจนสามารถประกอบอาชีพได้จริง ซึ่งแตกต่างจากการฝึกงาน (Internship) ที่ส่วนใหญ่ มีระยะสั้น และเน้นเพียงการเปิดโลกทัศน์และเพิ่มประสบการณ์มากกว่าการสร้างเส้นทางวิชาชีพที่มั่นคง
การจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขควรดำเนินตามแนวทางการจัดระบบบริการสุขภาพแบบ S-A-P ที่เน้นบทบาทและศักยภาพของหน่วยบริการ โดยมีความหมายดังนี้
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบรัฐร่วมเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) อย่างจริงจัง อาทิ การจัดจ้างให้เอกชนเข้ามาลงทุนและได้รับค่าตอบแทนจากการดำเนินงานจากโรงพยาบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการพัฒนายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีกทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ
โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการจัดบริการสุขภาพ เช่น การสนับสนุนสถานที่ รถรับส่งผู้ป่วย บุคลากร หรือการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพระบบสาธารณสุข และลดความเหลื่อมล้ำด้านการกระจายทรัพยากรทางการแพทย์
ภาครัฐควรพัฒนากลไกและมาตรการเชิงระบบที่ช่วยลดต้นทุนแฝงหรืออุปสรรคที่ประชาชนต้องเผชิญในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เช่น ค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการดำเนินการ และความซับซ้อนของขั้นตอน โดยสามารถดำเนินมาตรการหลายด้านควบคู่กันไป ทั้ง
(1) การพัฒนาช่องทางการสื่อสารและการเผยแพร่ ความรู้ด้านสิทธิและกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อที่หลากหลาย อาทิ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพลัง (Empower) ให้ประชาชนสามารถปกป้องสิทธิของตนเอง
(2) การยกระดับระบบการช่วยเหลือทางกฎหมาย ทั้งด้านการพัฒนาคุณภาพของทนายความช่วยเหลือและการปรับปรุงกลไกการจัดสรรทนายความให้สอดคล้องกับประเภทคดีที่ทนายมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความยุติธรรม