‘BYD’ ชง ‘บอร์ดอีวี’ หนุนปลั๊กอินไฮบริด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทย

18 ต.ค. 2568 | 02:20 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2568 | 02:20 น.

‘BYD’ เสนอ ‘บอร์ดอีวี’ หนุนผลิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทย หลังจำนวนสถานีชาร์จยังไม่เพียงพอ

KEY

POINTS

  • บีวายดี (BYD) เสนอให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) พิจารณาส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
  • ให้เหตุผลว่ารถยนต์ PHEV สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยที่ใช้งานรถเฉลี่ยวันละ 100 กม. และนิยมชาร์จไฟที่บ้านพัก เนื่องจากสถานีชาร์จสาธารณะยังมีไม่เพียงพอ
  • เชื่อว่าการสนับสนุนดังกล่าวจะช่วยต่อยอดมาตรการ EV ของภาครัฐ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค

นายเซียว ไก่ ผิวผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักประธานกลุ่ม บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าต้องการให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เนื่องจากเป็นประเภทรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย ที่จะใช้งานเฉลี่ยวันละประมาณ 100 กิโลเมตร และนิยมชาร์จไฟที่บ้านพักตัวเอง 

ทั้งนี้ เนื่องจากจำนวนสถานีชาร์จยังไม่มีเพียงพอ โดยการที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกนั้น เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว 

โดยปัจจุบัน BYD มีสัดส่วนโลคอลคอนเทนต์ (Local Content) อยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นจาก 45% เมื่อปีก่อน ซึ่งมีผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นกว่า 35 ราย และความร่วมมือในประเทศกว่า 529 ชิ้นส่วน (Part) โดยเป็นสัญญาณบวกต่อการสร้างฐานการผลิตที่มั่นคงในไทย

“แม้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะชะลอตัว แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตดี โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่บริษัทให้ความสำคัญมากขึ้น”

สำหรับตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน โดยในจำนวนนี้ 100,000 คัน เป็นรถ EV ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก

นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี และมีแผนเดินสายการผลิต 2 กะ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็นโอกาสทองที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

“ที่ผ่านมารัฐบาลไทยสนับสนุนมาตรการ EV-3.0-3.5 ได้ดีมาก โดยหากรัฐบาลสามารถต่อยอดมาตรการไปสู่ EV4.0 หรือ 4.5 จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งระดับโลก”

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าส่งออกรถยนต์รวม 10,000 คัน หลังจากวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สามารถส่งออกแล้ว 959 คัน โดยรวมส่งออกทั้งหมดกว่า 3,300 คัน ไปยังตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยียม รวมถึงเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก