KEY
POINTS
เงินเฟ้อติดลบ 6 เดือนซ้อน สะท้อนเศรษฐกิจชะลอ กำลังซื้ออ่อน กระทรวงพาณิชย์หั่นคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2568 เหลือ 0.0%
แรงกดดันต่อ กนง.และผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ต้องชี้ขาดว่าจะ “ลดดอกเบี้ย” กระตุ้นเศรษฐกิจทันที หรือ “รอดูผลนโยบายการคลัง” ก่อน
นักเศรษฐศาสตร์เห็นต่างแต่เอนเอียงลดดอกเบี้ยปลายปี ฟินันเซียฯ คาดลดรอบนี้ ส่วนซีไอเอ็มบีไทยมองคงดอกเบี้ยก่อน ลดได้อีกธันวาคมสู่ 1.25% หรือ 1.00%
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI)หรือ อัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนกันยายน 2568 เท่ากับ 100.11 ลดลง 0.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 และลดลง 0.03% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 0.01%
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 101.46 เพิ่มขึ้น 0.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.05% จากเดือนก่อน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ย 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.90%
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ประเมินแนวโน้มไตรมาส4 ปีนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในบางเดือนพร้อมปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปีนี้เหลือประมาณ 0.0% จากเดิมคาดไว้ในช่วง 0.0-1.0% สะท้อนภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาสินค้าสำคัญที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้วยปัจจัยที่หลากหลายทั้งภายนอกและภายในประเทศ
สำหรับอัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นั้น ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์, หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องและสะท้อนภาวะที่ไม่มีเงินเฟ้อ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อยังไม่กลับมาเป็นบวกในเดือนถัดไป
ยอมรับว่า เงินเฟ้อเป็น 1 ใน 4 ปัจจัยหลักที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นำมาประกอบการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้
ทั้งนี้ปัจจัยหลักในการลดดอกเบี้ยคือ
“กนง.น่าจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย เพราะสเต็ปของมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลนี้ มีระยะเวลา 4เดือน ซึ่งการลดดอกเบี้ยของ กนง.เอื้อในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงท้ายของปี ซึ่งกนง.และผู้ว่าธปท.คนใหม่พยายามทำมาตรการเสริมการปรับลดดอกเบี้ยด้วย”
ส่วนไตรมาส 4 ของปีนี้มองว่า แรงต้านน้อยลง ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่มาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจบวกได้เล็กน้อย อย่างน้อยต่อไตรมาสควรจะเห็นเศรษฐกิจขยับเป็นบวกกว่า 1.0% จากนโยบายดังกล่าว
โดยทั้งปียังอยู่ที่ประมาณ 2.0% หรือเต็มที่ 2.5% ก็ต้องมีนโยบายอื่นช่วย เช่น มาตรการสนับสนุนการใช้จ่าย/กำลังซื้อของชิ้นใหญ่ เช่นบ้าน/รถ อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยจะช่วยภาคธุรกิจลดภาระดอกเบี้ยจ่าย สามารถไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทยกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยด้านอุปทานที่สะท้อนกำลังซื้ออ่อนแอ ซึ่งยังมีผลต่อการพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่กนง.จะนำมาประกอบการพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคมนี้
“ในการประชุมรอบนี้ ไม่ได้บอกว่าผิด ในกรณีทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะคงหรือจะลด ซึ่งอธิบายได้ทั้งคู่"
ส่วนตัวมองว่า สิ่งที่ธปท.จะหยิบมาใช้น่าจะเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น ทุนเคลื่อนย้าย สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อหรือตัวแปร อื่นๆ ที่ไม่ใช่นโยบายดอกเบี้ย เช่น ค่าเงิน/AMC ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงไปรอบที่แล้ว จึงรอดูผลการทำงานของดอกเบี้ยก่อน ขณะเดียวกันช่วงนี้ก็รอดูผลของนโยบายการคลังด้วย
ดร.อมรเทพกล่าวว่า ไทยมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการเงิน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ในการประชุมรอบนี้ เพื่อรอดูผลของมาตรการเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่อาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและความเชื่อมั่นได้ในระยะสั้น
หากมาตรการหมดลงและกำลังซื้อกลับมาอ่อนแออีกครั้ง กนง. น่าจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม เพื่อพยุงเศรษฐกิจในปีหน้า โดยซีไอเอ็มบีไทยคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ระดับ 1.25% ปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม หากอัตราดอกเบี้ยไทยจะลดลงเหลือ 1.00% ปลายปีนี้แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ คือลดดอกเบี้ยทั้งเดือนตุลาคมและธันวาคม แต่ส่วนตัวมองว่า น่าจะหามาตรการอื่นทำควบคู่กันไป เช่น ดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก หรือ เร่งการปล่อยสินเชื่อ ลดการรักษาสภาพคล่องส่วนเกิน และอัดฉีดเงินผ่านตลาดการเงิน
ทั้งนี้หากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาในปีหน้า เช่น การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ที่อาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่ก็อาจจำกัดขอบเขตการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งทางออกที่เหมาะสมคือ การใช้มาตรการทางการเงินอื่นควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,138 วันที่ 9 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2568