พบพิรุธไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน กกร.คาดทำบาทแข็ง

11 ก.ย. 2568 | 23:00 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2568 | 03:52 น.

กกร. พบพิรุธไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้านบาท คาดทำเงินบาทแข็งค่า ห่วงพัวพันธุรกิจสีเทา เตรียมนำเรื่องหารือรัฐบาลใหม่

KEY

POINTS

  • กกร. พบความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปกัมพูชาซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของประเทศ
  • คาดว่าการส่งออกทองคำจำนวนมากนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
  • ภาคเอกชนมีความกังวลว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย) หรือ กกร. ได้ตั้งข้อสังเกตสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว และรุนแรง เนื่องจากสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติบางอย่างในเรื่องของการส่งออกทองคำ 

โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชา ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนม.ค. - ก.ค. 68 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีมูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็นสัดส่วน 28.2% เมื่อเทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก โดยเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องนำไปหารือกับรัฐบาลใหม่ต่อไป

“หากเทียบแล้วกัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ๆ  แต่ทำไมไทยถึงมีสัดส่วนการส่งออกทองคำไปค่อนข้างมาก ทำให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก ต้องแลกเป็นเงินบาท ความต้องการเงินบาทจึงเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าบาทแข็งค่า“

ขณะที่กัมพูชามีปัญหาเรื่องของสแกมเมอร์ที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้กกร.ตั้งข้อสังเกต รวมถึงกังวลว่า เรื่องดังกล่าวนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้าไปตรวจสอบ 

พบพิรุจไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน กกร.คาดทำบาทแข็ง

ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและจับตาดูต่อไป เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กกร.ยังไม่ได้ยืนยัน 100% ว่าเกี่ยวพันหรือไม่ แต่อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งการส่งออกทองคำไปกัมพูชา อาจจะมีทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ต้องดูที่รายละเอียดกันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หากมองในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยไม่ดี และคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. เพิ่งลดดอกเบี้ยไป 0.25% ซึ่งตามความเป็นจริงค่าเงินบาควรต้องอ่อนค่า แต่กลับแข็งขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ 

"สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล และธปท.เร่งทำ คือ แยกมูลค่าการค้าทองคำออกมาก่อน เพื่อพิจารณาว่า ความผิดปกติอย่างไรบ้าง และให้ธปท.เข้าไปดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้เหมาะสม ไม่ใช่ว่า ประเทศอื่นแข็งค่าระดับหนึ่ง แต่ของไทยแข็งรุนแรงจนผิดปกติ หรือเวลาค่าเงินอ่อน ไทยก็มักอ่อนมากกว่าประเทศอื่น ทำให้กระทบกับผู้ประกอบการไทยในทุกภาคทั้งภาคการส่งออก ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยวกระทบหมด"

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ค่าเงินบาทของไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 31.60-31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสแตะที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวกกร. มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

อีกทั้งได้มีการส่งสัญญาณออกไปแล้วว่าเงินบาทแข็งเกินความจำเป็น ซึ่งไม่สะท้อนภาวะแท้จริงของเศรษฐกิจไทยที่ไม่ดีเท่าไหร่นักในเวลานี้ จากกำลังซื้อที่ไม่ดี โดยที่ตามปกติเงินบาทควรจะอ่อนค่า 

พบพิรุจไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน กกร.คาดทำบาทแข็ง

อย่างไรก็ดี มีการวิเคราะห์ว่าปัญหามาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าทำให้เงินในภูมิภาคแข็งค่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สิงสำคัญคือจะต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาทในเชิงเปรียบเทียบ โดยที่ผ่านมาเมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็ง เงินบาทไทยมักจะอ่อนค่าลงอย่างมากทุกครั้ง หรือที่เรียกว่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค 

แต่กลับกันเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อน และค่าเงินในภูมิภาคแข็ง เหตุใดเงินบาทไทยจึงแข็งค่าขึ้นเป็นลำดับต้นของภูมิภาคเสมอ โดยตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วถึง 7% กว่า ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียนรองจากประเทศไต้หวันนี่คือปัญหา

ทั้งนี้ จากสภาวะดังกล่าวส่งผลให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ 2 เด้ง ได้แก่ ปัญหาจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 19% จากสหรัฐฯ และจากค่าเงิน ขณะที่ประเทศอื่นมีการใช้เทคนิคในการควบคุมค่าเงิน โดยการลดค่าเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยยังมีตลาดส่งออกใหญ่ทั่วโลกที่จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งทั้ง 100% โดยที่การส่งออกเป็น 60% ของจีดีพี 

นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไทยกำลังเร่งฟื้นฟูดึงนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา หากค่าเงินบาทแข็งก็จะทำให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาไทย ซึ่งมีดีทุกอย่างทั้งด้านสถานที่ อาหาร บริการ เกิดความลังเล เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้นักท่องเที่ยวต้องคิดหนักมากขึ้น

อีกทั้ง ยังมีทางเลือกในการเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่า แม้ว่าการบริการอาจจะไม่เทียบเท่า นักท่องเที่ยวก็จะเลือกไปมากกว่า

“ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไป แม้กระทั่งคนไทย เพราะนอกจากมีดีทุกอย่าง ทั้งสถานที่ อาหาร ปลอดภัยและที่สำคัญค่าใช้จ่ายถูก ได้ของดีราคาถูก ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไทยต้องทำคือการลดค่าเงิน หรือรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้ได้”