KEY
POINTS
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุม ทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยาหรือ อย. เพื่อร่วมกันทำโครงการสุขกาย สบายกระเป๋า เพื่อเปิดเผยราคายาแสดง ราคา ยา และ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ให้ ประชาชนสามารถเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาล
โดยในที่ประชุมวันนี้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 9 เครือ จำนวน 354 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ ได้แก่ 1.BDMS 2.ธนบุรี 3.บางกอกเชน(เกษมราษฎร์) 4.บางปะกอก-ปิยะเวท 5.รามคำแหง-วิภาราม 6.พริ้นซิเพิล 7.นวมินทร์ 8.สินแพทย์ 9.จุฬารัตน์
ขณะเดียวกัน ร้านขายยาทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 20,099 ร้าน โดยร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำอยู่ 19,206 หรือว่า 93% โดยรายละเอียดการลงทะเบียนเพื่อเปิดให้ร้านขายยาเข้าร่วมโครงการจะมีการหารือกันอีกรอบในวันที่ 10 ตุลาคม 2568
เบื้องต้นโครงการดังกล่าวจะครอบบคุมรายการยาทุกประเภท ประมาณ 90% เช่น กลุ่มยาโรงเรื้อรัง อาทิ ยาลดความดัน เบาหวาน รวมถึงเวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ส่วนโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ ควรให้แพทย์ที่รักษาเป็นคนสั่งจ่ายยา เพราะยาบางชนิดไม่มีในร้านขายยา
สำหรับขั้นตอนการเข้ารับการรักษา เมื่อถึงขั้นตอนการพบแพทย์ ประชาชนต้องแจ้งความประสงค์จะไปซื้อยาข้างนอกกับทางแพทย์ เพื่อให้แพทย์ออกใบสั่งยา ก่อนจะมีการชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์ โดยประชาชนจะเห็นราคายาก่อนจ่าย
ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรม MOU "สุขกาย สบายกระเป๋า" ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยมีนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานแถลงข่าว พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักสักขีพยานระหว่างการค้าภายใน กับ สมาคมรพ.เอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา
สำหรับโครงการดังกล่าวจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้ประชาชนได้ 32,400 ล้านบาทและลดความแออัดของภาครัฐ โดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการคือ คนไทย และต่างชาติที่มีที่อยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะไม่รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนต่างชาติที่มารักษาในประเทศไทย
นอกจากนี้ได้มีการหารือการดำเนินการเฟส 2 ศึกษาต้นทุนโครงสร้างราคายาให้มีความเหมาะสม ควบคุมต้นทุนการนำเข้ายา
"ในส่วนของเฟส 2 จะดำเนินการเรื่องของโครงสร้างที่เป็นต้นทุน ค่าบริหารจัดการ ดูแลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด"
นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมีสิทธิเลือกซื้อยาได้โดยมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนปัญหายาแพงนัั้น ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นต้นในการกำหนดราคายา เช่น ค่าที่ดิน เครื่อง มือแพทย์ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาด ที่นำมาคำนวนเป็นต้นทุน แต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกัน โดยกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
ทั้งนี้ ยังแสดงความเป็นห่วง กรณีผู้ป่วยที่ต้องการซื้อยาจากข้างนอกโรงพยาบาล ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแลย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือยาปลอม ทั้งนี้ ยอมรับว่านะ โครงการลดค่าครองชีพครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงพยาบาล