KEY
POINTS
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Sustainability Expo 2025” (SX2025) บนเวที “TSCN Business Partner Conference 2025” ว่า บริบทของเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในหลายมิติ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ โครงสร้างประชากร เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจตกขบวนโลก
“วันนี้โลกไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจจึงต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน” นายเอกนิติกล่าว
นายเอกนิติ ระบุว่า มี 4 ประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทัน หากต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
โลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยอยู่ภายใต้ยุค Globalization ที่ผลักดันการค้าเสรีผ่านองค์กรอย่าง WTO แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนทิศสู่ Localization หรือ “เศรษฐกิจแบบเลือกข้าง” ที่แต่ละประเทศใช้มาตรการทางการค้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ครั้งใหญ่ มีการใช้กำแพงภาษี (Trade Barriers) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพิ่มขึ้น เช่น การตรวจสอบสินค้าหรือมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยไม่ปรับตัวทัน ก็อาจถูกกันออกจากตลาดโลก
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากถึง 20% ของประชากรทั้งหมด เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่เพียง 15% เท่านั้น ปัญหานี้จะกระทบทั้งกำลังแรงงาน การบริโภคภายในประเทศ ระบบประกันสังคม และภาระงบประมาณด้านสาธารณสุข ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลังมองว่า หากสามารถนำศักยภาพของผู้สูงวัยที่ยังมีพลังมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจอาหารสุขภาพ การแพทย์ และบริการสุขภาพเชิงคุณภาพ จะช่วยสร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ และเพิ่มความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นายเอกนิติชี้ว่า โลกได้ก้าวจากยุคแอนะล็อกสู่ดิจิทัล และกำลังเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มตัวภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีหลังการเกิดขึ้นของ ChatGPT ซึ่งถือเป็น “จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์” ของเศรษฐกิจโลก
เทคโนโลยี AI จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อผู้ที่เข้าถึงและใช้เป็น แต่หากประชาชนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ จะยิ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลขยายกว้างขึ้น “รัฐจึงต้องมีนโยบายสร้างโอกาสให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยี ไม่ให้โลกใหม่กลายเป็นกับดักของคนกลุ่มเดิม” เขากล่าว
กระแสสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก กำลังผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเดินหน้าเข้าสู่ยุค Green Supply Chain ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวจะถูกจำกัดโอกาสในการค้าและลงทุน
“วันนี้ธุรกิจที่ไม่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานสีเขียว จะยิ่งยากที่จะอยู่รอด รัฐบาลจึงต้องเร่งส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจไทยเข้าสู่เส้นทางสีเขียวโดยเร็ว” นายเอกนิติกล่าว
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน จากแรงส่งของการส่งออกที่เร่งขึ้นก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ (Trump Tariff) มีผล ทำให้ไตรมาส 4 อาจมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือเพียง 0.3%
“เศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนรถยนต์ที่กำลังจะดิ่งเหว หากไม่เร่งเบรกและปรับทิศ ก็อาจเกิดผลกระทบรุนแรง”
รัฐบาลจึงใช้กรอบแนวคิดใหม่ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยมีสองระยะหลักคือ
นายเอกนิติเน้นว่า นโยบายเศรษฐกิจทั้งหมดของรัฐบาลต้องตั้งอยู่บนหลัก “วินัยการคลังและธรรมาภิบาล” เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ และป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอยปี 2540
สุดท้าย นายเอกนิติกล่าวย้ำว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มุ่งผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับหลัก ESG (Environment, Social, Governance) หรือการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้การเติบโตของประเทศไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง