‘เอกนิติ’ ชี้ไทยส่งออกทอง ‘กัมพูชา’ ไม่ใช่ต้นเหตุทำบาทแข็ง

01 ต.ค. 2568 | 10:24 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2568 | 11:07 น.

‘เอกนิติ’ ชี้ไทยส่งออกทองไป ‘กัมพูชา’ ไม่ใช่ต้นเหตุหลักทำ ‘บาทแข็ง’ ระบุมาจากปมการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แนวทางที่มีการเสนอให้เก็บภาษีทองคำเพื่อลดการเก็งกำไร และทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นนั้น จากข้อมูลการส่งออกทองคำไปกัมพูชา ตลอด 8 เดือนปีนี้ มีมูลค่าเพียง 6-7 หมื่นล้านบาท และเมื่อแปลงเป็นดอลลาร์แล้วตกเพียง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินทุนไหลเข้า ซึ่งไม่น่าใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า สาเหตุเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด  ที่มาจากการส่งออก อีกทั้งมีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรจำนวนมาก ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่สูงก็จูงใจให้มีการเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงแล้ว หลังจากที่ผ่านมามีการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน พร้อมกับได้ตั้งคณะทำงานในการตรวจสอบเงินทุนไหลเข้าที่มาจากธุรกรรมที่วัดไม่ได้ หรือเป็นเงินนอกระบบหรือเงินสีเทา ที่อาจมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า โดยคณะทำงาน ประกอบด้วย

  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 

 

นายเอกนิติ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจ ช่วงไตรมาส 4 เดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 0.3% ซึ่งถือเป็นภาวะติดหล่ม แต่รัฐบาลพยายามออกมาตรการช่วยกระตุ้นจีดีพีไตรมาสสี่ให้ขยายตัวได้เกิน 1% ประกอบด้วย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะดำเนินการผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส และการเติมเงินเข้าบัตรคนจนวงเงินรวม 6.65 หมื่นล้านบาท   มาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในเมืองรอง โดยให้นำรายจ่ายจากการท่องเที่ยวมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า คาดว่า จะเสนอเข้าครม.ได้ในวันที่ 14 ต.ค.นี้

นอกจากนี้ ยังจะเสนอให้ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักต่างๆนำรายจ่ายจากการซ่อมแซมมาหักลดหย่อนได้ 2 เท่า เพื่อช่วยยกระดับที่พักเพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งเสริมเติมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี รวมถึงกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายช่วงต้นปีงบประมาณ 69 โดยกำหนดให้ส่วนราชการที่ได้รับงบประมาณเพื่อการอบรมสัมมนานำรายจ่ายดังกล่าวมาใช้ในช่วง 4 เดือนของต้นปีงบประมาณ