‘เอกนิติ’เพิ่มสภาพคล่อง2แสนล้านผ่าน‘คนละครึ่ง-คืนภาษี SMEs’

01 ต.ค. 2568 | 09:43 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 08:12 น.

รัฐบาล‘อนุทิน’ แถลงนโยบาย ‘Quick Big Win’ เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มขีดความสามารถในระยะยาว อัดฉีดเงินเข้าระบบ 2 แสนล้านบาท ผ่านโครงการ คนละครึ่งพลัส 4.4 หมื่นล้าน คืนเงินภาษี 1.6 แสนล้านบาททันที

รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่สำคัญผ่านแนวทางที่มีชื่อว่า ‘Quick Big Win’ ซึ่งมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นให้ได้ผลยาวและกระจายตัวทั่วถึงทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  

แนวทาง “Quick Big Win” ที่รัฐบาลได้วางแผนและจะดำเนินการในช่วง 4 เดือนนี้ เป็นแผนที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น พร้อมกับเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว โดยใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายผลประโยชน์ไปยังทุกพื้นที่ เป็นกลยุทธ์หลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างมีประสิทธิภาพ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ โดยเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับ “รถยนต์” ที่กำลังวิ่งลงเหวหรือใกล้จะติดหล่มหากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

‘เอกนิติ’เพิ่มสภาพคล่อง2แสนล้านผ่าน‘คนละครึ่ง-คืนภาษี SMEs’

โดยผลจากการคาดการณ์ของหน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐ พบว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 คาดว่า จะเติบโตเพียง 1.7% และจะลดลงเหลือแค่ 0.3% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจใกล้จะติดลบ  

เครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยมีสภาพไม่ดีทั้ง การส่งออกที่กำลังแผ่วลง โดยไตรมาสแรกถึงสองเติบโตได้ดี แต่การส่งออกในช่วงหลังเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การบริโภคเอกชนกำลังอ่อนแรง เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงและปัญหาหนี้ครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชน กำลัง “เตรียมดับ” เนื่องจากกำลังการผลิตที่ต่ำ และไม่มีความจำเป็นในการลงทุนเพิ่ม ขณะที่การใช้จ่ายรัฐบาลเป็นเครื่องยนต์เดียวที่ยังพอมีความหวังในการดึงเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว 

นอกจากนี้ ปัญหาของเศรษฐกิจยังรวมถึงสภาพคล่องที่เริ่มเหือดหาย ทั้งจากหนี้ครัวเรือนและเอสเอ็มอีที่ขาดแคลนสภาพคล่อง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและระบบธนาคารที่เข้มงวดขึ้น รัฐบาลจึงวางแผนแก้ไขปัญหาภายในกรอบเวลา 4 เดือน ผ่านการดำเนินการใน 5 เสาหลักที่เชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดการกระจายตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงประชาชนทั่วไป  

การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นนโยบายที่นำเสนอให้ประชาชนใช้จ่ายได้ 200 บาทต่อวัน โดยเน้นช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เช่น หาบเร่แผงลอยและแท็กซี่ พร้อมจูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษีโดยให้เงิน 2,400 บาทแก้ผู้เสียภาษีในระบบ  

การเดินหน้าโครงการดังกล่าว รัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง ซึ่งไม่ได้ใช้เม็ดเงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้วจากงบกระตุ้น 25,000 ล้านบาทและงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม 

ภาคการท่องเที่ยวให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งนโยบายนี้สูญเสียรายได้ภาษีเพียง 300 ล้านบาท ขณะที่การบริหารหนี้เสีย (NPL) จะนำเงินในกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีวงเงินเหลือจากโครงการ คุณสู้ เราช่วย ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง  

การดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสภาพคล่อง การใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ด้านการคลังจะเร่งรัดการคืนภาษีของกรมสรรพากรทันที ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ในมือถึง 160,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและเอสเอ็มอีอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนั้น รัฐบาลจะสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินมากขึ้นผ่าน “สลากออมทรัพย์” และพัฒนาพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งออมที่ปลอดภัยและมีดอกเบี้ยที่คุ้มค่า  การมุ่งเน้นการเพิ่มทักษะทางด้านเทคโนโลยี (Skill) และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เกษตรชีวภาพ, Smart Farming, และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 10,000 ล้านบาทเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยี  

ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงถึงโครงการสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยการลงทุนในพลังงานสะอาด ผ่านโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงพลังงานสะอาดและช่วยลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตรที่จะสนับสนุนเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

“รัฐบาลมีแผนการพัฒนาระบบการผลิตและขนส่งไฟฟ้าในพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยการใช้พลังงานสะอาดเป็นพื้นฐานในการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”นายอรรถพลกล่าว   

ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำเสนอแผนงานการผลักดันการค้าระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ โดยจะเร่งรัดข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น FTA กับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไทยในตลาดโลก 

นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อหาตลาดใหม่และขยายช่องทางการส่งออกสินค้าไทย โดยการส่งเสริมการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์และขยายช่องทางการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมโครงการ Thai Select และ Thailand Trust Mark เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการไทย  

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยถึงมาตรการสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินการภายในระยะเวลา 4 เดือน โดยเน้นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยการปรับลดค่าโดยสารทั้งในรถเมล์และรถไฟฟ้า โดยเฉพาะการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ให้เหลือเพียง 40 บาทตลอดวัน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  

มาตรการนี้มุ่งเน้นให้เกิดผลทันที พร้อมกับการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV) ทดแทนรถเมล์ร้อนจำนวน 1,520 คันในกรุงเทพฯ โดยการจัดซื้อจะมีวงเงินรวม 15,301 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำลังอยู่ระหว่างการประชาพิจารณ์และเตรียมประมูลให้เสร็จภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้โดยสารที่ใช้รถเมล์ร้อนสีครีม-แดง จะยังคงจ่ายค่าโดยสารที่ราคา 8 บาท แม้จะเปลี่ยนไปใช้รถเมล์ไฟฟ้า

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,136 วันที่ 2 - 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568