KEY
POINTS
รัฐบาลกำหนดนโยบายแก้หนี้ประชาชนวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 26,000 ล้านบาท ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อช่วยลดภาระหนี้ให้ประชาชน
หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 95.5% ต่อ GDP และแม้จะลดลงมาอยู่ที่ 87.4% แต่ยังสูงกว่ามาตรฐานสากล ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากฐานะทางการเงินที่เปราะบาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
รัฐบาลจะสนับสนุนสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกัน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่อยู่ใน Supply chain ของธุรกิจขนาดใหญ่
หนึ่งในความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญคือหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งนำไปสู่คำถามสำคัญว่าอะไรคือบทบาทที่เหมาะสมของนโยบายการเงินของไทยที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 95.5% ต่อGDP ในช่วงการระบาดของ COVID-19 แม้จะทยอยปรับลดลงมาอยู่ที่ 87.4 ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์สากลที่ 80% ต่อ GDP โดยภาระหนี้ที่สูงเกินไปจะทำให้ฐานะทางการเงินภาคครัวเรือนมีความเปราะบาง และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภครวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ
การเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ซึ่งหนึ่งในภารกิจเร่งด่วน Quick Big Win ของรัฐบาล คือ การลดภาระหนี้ประชาชน ผ่านการแก้ไขหนี้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท วางเป้าต้องแล้วเสร็จภายใน 4 เดือน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงนโยบายการลดภาระหนี้ประชาชน ว่า จะนำเงินในกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
โดยมีวงเงินเหลือออยู่ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาบริหารผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง และตั้งเป้าหมายว่าจะลดหนี้ครัวเรือนให้ต่ำลงกว่า 87%
“การปรับโครงสร้างหนี้ จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เช่น เหลือ 500 บาทเพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ”
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 2.6 หมื่นล้านบาท เป็นวงเงินที่เหลืออยู่จากโครงการคุณสู้เราช่วย ที่จะนำมาเป็นเงินทุนในการบริหารหนี้เสีย ซึ่งสามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเราได้รับความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะเข้าไปแก้ระเบียบบางข้อที่ติดเงื่อนไขอยู่
ทั้งนี้ รูปแบบการเข้าไปแก้ไขหนี้ประชาชนรายย่อยนั้น จะดูแลลูกหนี้เสีย หรือเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และลูกหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) มูลหนี้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท ซึ่งครอบคลุมลูกหนี้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์
โดยลูกหนี้เสียที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาทนั้น มีจำนวน 3.8 ล้านราย มูลหนี้รวม 1.2 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็น ลูกหนี้จากธนาคารพาณิชย์ 1.4 ล้านราย มูลหนี้ 3.5 หมื่นล้านบาท และลูกหนี้นอนแบงก์ 2.4 ล้านราย มูลหนี้ 8.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับหลักการการบริหารหนี้เสีย มี 3 รูปแบบ ได้แก่
'รูปแบบ AMC รอบนี้ จะไม่เหมือน AMC ปกติที่ซื้อหนี้เสียจากธนาคารมาแล้วนำมาบริหารจัดการได้กำไรสูงสุด ก็ขายทำกำไร แต่รอบนี้จะเป็นลักษณะกึ่ง AMC เอื้ออาทร โดยยกหนี้กลุ่มข้างต้น ออกจากแบงก์แล้วมาพักไว้ที่ AMC และให้โอกาสลูกหนี้ปรับปรุงตัว แล้วกลับมาสู้ใหม่ได้ ซึ่งหากแบงก์ใหญ่มีศักยภาพพอที่จะตั้ง AMC ได้ ซึ่งรู้จักลูกหนี้ดีที่สุด ก็สามารถดูแลตัวเองได้'
ทั้งนี้ เงื่อนไขในการดูแลลูกหนี้ที่อยู่ใน AMC จะได้รับการผ่อนปรน ทำให้ลูกหนี้มีภาระการผ่อนต่อเดือนต่ำลง เช่น เคยผ่อน 2 พันบาท/เดือน อาจเหลือแค่ 500 บาท/เดือน เป็นต้น ซึ่งเรามีแนวทางดำเนินการจากโครงการคุณสู้เราช่วย ที่ยังมีข้อจำกัดบางส่วนอยู่ โดยจะมีการผ่อนปรนเกณฑ์มากขึ้น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น อยู่ระหว่างหารือกับธปท. ซึ่งยืนยันว่าจะแล้วเสร็จใน 4 เดือน โดยเป็นหนึ่งใน Quick Big Win ของรัฐบาล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายเรื่องการสนับสนุนให้คนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อ ด้วยการช่วยเหลือสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้าไปช่วยค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งได้เตรียมวงเงินค้ำประกัน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยู่ใน Supply chain ของธุรกิจขนาดใหญ่
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ว่า หนี้ครัวเรือนไทย มีมูลค่าสูงถึง 13.55 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบ 90% ของจีดีพี ทั้งนี้ หากดูในรายละเอียดจะพบว่า 50% ของหนี้ครัวเรือนไทยเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้มีหลักประกัน
สำหรับในหนี้ครัวเรือน 13.55 ล้านล้านบาท หากพิจารณาเพิ่มเติม พบว่า เป็น NPL กว่า 9% ขณะเดียวกัน เป็นหนี้ที่เคยเป็น NPL และผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) อยู่ที่ประมาณ 8% และหนี้ที่ต้องพึงระมัดระวังเป็นพิเศษ (SM) ซึ่งชำระล่าช้าเกิน 1 เดือนแต่ไม่เกิน 90 วัน อยู่ที่ประมาณ 4%
เมื่อรวมหนี้ที่อ่อนแอทั้งหมด ได้แก่ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้าง, หนี้พึงระมัดระวัง, และหนี้ที่ต้องปรับโครงสร้างล่วงหน้าก่อนเป็น NPL (DR) จะรวมกันแล้วประมาณ 30% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนด Road Map ที่ชัดเจนแล้ว เพื่อเดินหน้ากลไกการจัดตั้ง JV (Joint Venture) ร่วมกับ AMC ที่มีอยู่ซึ่งข้อดีของกลไกนี้คือ AMC จะทำหน้าที่หลักในการแก้ไขหนี้ และจะใส่ใจในการจัดการหนี้เสียอย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นความเชี่ยวชาญหลักของพวกเขาทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะได้มีเวลาและสภาพคล่องมากขึ้นในการปล่อยกู้ และอัดฉีดสภาพคล่องกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ด้านวิจัยกรุงศรี Research Intelligence ระบุในผลการศึกษาเรื่อง สินทรัพย์และหนี้สินของครัวเรือนไทย หลังโควิด-19: สัญญาณเตือนความเปราะบางทางการเงินว่า การใช้จ่ายของครัวเรือนไทยยังคงซบเซา เนื่องจากปัญหาเรื่องรายได้ที่โตต่ำ สินทรัพย์เพื่อการออมและลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่หนี้ยังสูง
“หากเร่งจัดการแก้ไขต้นตอของปัญหา เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอและการจ้างงานที่ไม่มั่นคง จะเป็นอีกทางออกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างฐานะทางการเงินของครัวเรือนให้แข็งแกร่ง และช่วยขับเคลื่อน เศรษฐกิจของไทยให้เติบโตได้ตามระดับศักยภาพ”
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,137 วันที่ 5 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568